Aranyalak University
บรรยากาศภายในห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของนักศึกษาภายในคลาสเรียน เนื่องจากอาจารย์ที่สอนยกเลิกคลาสเลยทำให้ทุกคนต่างพากันแสดงสีหน้าออกมาอย่างดีใจ จะมีก็แค่ ทอฝัน นี่แหละที่ไม่ได้ยินดีอะไรกับคนอื่นเขาเพราะตอนนี้เธอมีเรื่องให้เครียดมากกว่าดีใจ
"ยัยฝันเป็นอะไรทำไม ถึงได้ทำหน้าเหมือนคนกำลังจะตายแบบนั้น"
ทอฝันเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมอง นานา เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของตัวเองที่ถามเธออย่างห่วงใย ไม่สิต้องบอกว่าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่มีมากกว่า ในยุคที่เงินคือสิ่งตัดสินมิตรภาพแบบนี้แล้ว คนจน ๆ แบบเธอยังเหลือเพื่อนสนิทสักคนก็ถือว่าเป็นบุญหัวมาก
"ก็กำลังจะตายจริง ๆ " เธอพูดพร้อมกับเอียงตัวลงนอนหนุนแขนพลางมองเงินในบัญชีไปพลาง
'ยอดคงเหลือในบัญชี 2,000.00'
"มีอะไร หรือว่าเรื่องจ่ายค่าเทอม" นานานึกออกอยู่เรื่องเดียวจริง ๆ ที่ทำให้เพื่อนเครียดได้คือเรื่องหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียน เพราะตอนนี้มหาวิทยาลัยออกกฎใหม่ห้ามค้างชำระเกิน 3 เดือน
"อือ พอดีเมื่อวานฉันเอาเงินไปคืนเจ๊เจ้าของหอพัก ฉันไปยืมเงินแกมาหมื่นหนึ่งตอนจัดงานศพให้พ่อนะ นี่ก็ครบปีแล้วเลยต้องคืน"
ตอนนี้เธอน่ะตัวคนเดียว ตั้งแต่ที่พ่อเสียเพราะอุบัติตอนขับรถไปส่งของที่ต่างจังหวัด เหตุการณ์ตอนนั้นตำรวจสรุปสำนวนคดีว่าเพราะพ่อขับรถหลับในเลยทำให้เกิดอุบัติเหตุ เหมือนว่าเหตุการณ์คราวนั้นจะมีคู่กรณีแต่เพราะพ่อของนานาไปคุยให้เลยไม่เอาความ ตัวเธอที่เป็นลูกเลยไม่ต้องชดใช้แทน พอเธอรู้ว่าพ่อนานาเป็นคนช่วย เธอเลยถือว่าทั้งเพื่อนและพ่อของเพื่อนเป็นผู้มีพระคุณท่วมหัว แต่ก็นั่นแหละตั้งแต่นั้นมาเธอเลยกลายเป็นคนที่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ ดีหน่อยที่มีนานาเข้ามาเป็นเพื่อนอีก
ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่ได้ท้อหรอกนะ ทำงานแทบจะทุกอย่างตั้งแต่งานง่าย ๆ จนถึงยาก หลายครั้งที่อยากจะหยุดเรียนไปเลย แต่ก็เลิกไม่ได้เพราะครั้งหนึ่งเคยสัญญากับพ่อไว้
'พ่อหวังให้ลูกเป็นคนมีความรู้ติดตัว สัญญานะลูกว่าจะเอาใบปริญญามาฝากพ่อคนนี้'
"ให้ฉันช่วยไหมแก เดี๋ยวคุยกับแด๊ดให้"
ความจริงการช่วยเรื่องค่าเทอมเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวสำหรับเธอ นานาลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ติดท้อปห้าของประเทศเรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก แต่ที่ไม่เคยได้ช่วยเพราะอีกฝ่ายถือเรื่องการยืมเงินเพื่อนเป็นใหญ่ ทอฝันชอบบอกว่ามีเธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกนี้ ไม่อยากเสียเพื่อนไปด้วยเรื่องเงินทอง
"ขอบใจแกมากนะ ถ้าฉันหาทางแก้ไม่ได้จริงจะลองปรึกษาแกอีกที"
"ได้ ๆ ...งั้นพวกเราไปกินข้าวกันดีไหม ยังไงอาจารย์ก็ยกเลิกคลาสแล้ว เดี๋ยววันนี้ฉันจะพาไปเลี้ยงร้านก๋วยเตี๋ยวชามยักษ์ที่เปิดใหม่ตรงหลังมอ" นานารีบยื่นข้อเสนอเป็นของกินเผื่อจะทำให้เพื่อนหายเครียดได้
"เอาสิ! ยังไงช่วงนี้ก็ขอเกาะเพื่อนกินก่อนแล้วกันนะ"
"ได้เลย!!"
หลังจากนั้นไม่นานพวกเธอก็พากันเดินออกจากห้องเรียนและพากันตรงไปที่จุดหมายทันที
ร้านก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่โต
ตอนนี้คนในร้านก๋วยเตี๋ยวดูพลุ่งพล่านมาก ทั้งนักศึกษาและพนักงานบริษัท เจ้าของร้านเหมือนจะเข้าใจตั้งร้านทำเลทองแบบนี้นะ
"อ้าวแม่หนูคนสวยพวกลื้อจะเอาอะไรกันเหรอ" เฮียเจ้าของร้านถามนักศึกษาสาวเมื่อถึงคิวของพวกเธอ
"ขอเป็นเส้นเล็กแห้งนะคะเฮีย"
"ส่วนของหนูขอเป็นเล็กน้ำใสค่ะ"
"ได้ ๆ พวกแม่หนูไปหาโต๊ะนั่งรอเลยนะ เดี๋ยวเฮียให้ลูกน้องเอาไปส่ง"
ทอฝันกับนานาเดินไปนั่งที่โต๊ะว่าง เหมือนว่าสายตาผู้ชายหลาย ๆ คู่ที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้านจะสนใจพวกเธอกันอยู่มาก
"แกเมื่อวานพี่พายุบอกว่าจะมีแข่งรถ อยากให้ฉันไปเชียร์ แกไปด้วยกันไหม"
"แต่สนามแข่งมันอันตรายนะ พ่อแกจะให้ไปเหรอ" ทอฝันได้ยินคำพูดเพื่อนก็อดเตือนไม่ได้จริง ๆ ยิ่งพ่อของเพื่อนสนิทเป็นพวกประเภทหวงลูกสาวอยู่ด้วย
"นั่นสิหรือว่าฉันว่าจะแอบไปดี" นานารีบเสนอ เธอนะไม่เคยไปเห็นแฟนแข่งรถเลยสักครั้ง
"ฉันว่าไม่ดี ถ้าเธอไม่อยากถูกบอดี้การ์ดของพ่อคอยตามเหมือนตอนปีหนึ่ง ฉันขอแนะนำว่าอย่าคิดทำอะไรแบบนั้นดีกว่า"
นานานึกตามคำพูดทอฝันก็ได้แต่ยิ้มแห้ง เธอจำได้ดีเลยว่าตอนนั้นมันน่าอายแค่ไหน
"ก็จริง"
ปรืน!! ปรืน!! เสียงดังขอท่อรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่ที่ขับเข้ามาจอดหน้าร้าน ดึงความสนใจของคนมากินแทบจะทั้งร้านมองไปดูลูกค้าใหม่
"เฮียเล็กแห้งใส่ถุง"
"ได้ ๆ ลื้อเข้าไปนั่งรอในร้านก่อนนะ"
เฮียเจ้าของร้านบอกชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่สวมหมวกกันน็อคไม่ยอมถอด เหมือนพวกมาทวงหนี้มากกว่ามากินก๋วยเตี๋ยวอีก
"ได้! เร็ว ๆ ด้วยนะเฮีย ถ้าไม่เร็วจะสั่งให้คนมาปิดร้าน"
"ลื้อนี่น้า มาข่มขู่คนแก่ได้ยังไง" เฮียเจ้าของร้านพูดอย่างไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะรู้ว่าลูกค้าคนนี้เป็นใคร
"คนสมัยนี้ก็แปลกนะนา คิวเขาก็มีอยากได้เร็ว ๆ ทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อวาน"
ทันทีที่ชายหนุ่มเข้ามายืนรอก็มีเสียงหวานของคนที่นั่งหันหลังใกล้ ๆ พูดขึ้น
"ยัยฝันอย่าไปหาเรื่องเขา ยิ่งดูน่ากลัวอยู่" นานารีบห้ามเพื่อนที่กำลังพูดเหมือนส่อเสียดชายที่ไม่รู้จัก ยิ่งตอนนี้เหมือนเขามองมาที่พวกเธอแล้วด้วย
"ฉันพูดลอย ๆ ใครอยากรับหรือเดือดร้อนก็แล้วแต่สิ"
"เพิ่งรู้นะว่าเดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาหามุขใหม่ ๆ มาเรียกร้องให้ผู้ชายสนใจด้วยการปากดีหาเรื่องใส่ตัว" แววตาของคนที่มองผ่านกระจกหมวกกันน็อคราคาแพงเพ่งสายตาไปหาหญิงสาวที่นั่งหันหลังให้ตัวเอง พร้อมกับพูดจาเหน็บแนมเขาอยู่
"ฮ่ะ ๆ เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้การด่าใครสักคนมันคือการเรียกร้องความสนใจ"
ทอฝันหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย อาจจะเพราะเธอเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาตอนรับงานพาร์ตไทม์เป็นเด็กเสิร์ฟและถูกต่อว่าเรื่องเร่งคิว เลยกลายเป็นว่าพอเห็นอีกฝ่ายเหมือนเร่งเจ้าของร้านทั้งที่ไม่ใช่คิวเลยอดแขวะไม่ได้
"นี่สาวน้อยอาจารย์เธอเคยสอนสุภาษิตไทยไหม คำว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนมันแปลว่ายังไง"
"แล้วพี่ชายล่ะคะเคยรู้จักคำว่ามารยาทในการรอของคนมาทีหลังไหม"
"ยัยทอฝันพอแล้ว"
"ใจเย็น ๆ พวกลื้อในเย็น ๆ อั๋วรู้ว่าโมโหหิวกันแล้วแต่คอยกันหน่อย... เอานี่ นางหนูก๋วยเตี๋ยวพวกลื้อมาแล้ว" เฮียเจ้าของร้านรีบเข้ามาห้าม
"ขอบคุณนะคะ" ทอฝันหันไปยิ้มตอบรับ เธอเลือกที่จะไม่ต่อปากต่อคำ
"ที่แท้ก็โมโหหิว"
"นี่!!"
แต่ดูเหมือนชายคนนั้นจะไม่ยอมจบ เขาไม่พลาดที่จะพูดจาเหน็บแนมกลับก่อนจะเดินออกไปนอกร้าน
"ยัยฝันแกก็เพลา ๆ หน่อยเถอะ ไปหาเรื่องเขาทำไม"
"ก็มันอดไม่ได้นิ...เฮ้อ~"
ความจริงตัวเธอเองก็เริ่มรู้สึกผิดไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย อีกอย่างเขาก็ไม่ได้พูดจาอะไรไม่ดี ขนาดที่เธอต้องเข้าไปยุ่ง
"ป้าชุดนักศึกษาผมสีน้ำตาลคนนั้นน่ะ ถ้าเข้าวัยทองแล้วก็หัดกินยาบ้างนะ จะได้ไม่ต้องมาทำตัวเป็นมนุษย์ป้าคอยว่าคนอื่น"
ดูเหมือนว่าความรู้สึกผิดที่มีจะหายไปจนหมดสิ้น เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมจบ ขนาดตอนจะขับรถออกไปก็ยังไม่วายที่จะหันมาว่าเธอ คำพูดของเขาดังเข้าพอที่จะทำให้คนในร้านหันมามองเธอแล้วพากันหัวเราะ
[ไอ้ผู้ชายบ้าคนนั้น]