มนสิการเดินห่อตัวเมื่อลมหนาวยามค่ำคืนในนิวยอร์กพัดผ่านวูบร่างแบบบางของเธอ ส่งผลให้หญิงสาวรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วเพื่อให้ไปถึงที่พักซึ่งอยู่ในตรอกถัดไปนี่เอง
บรรยากาศในคืนนี้ดูน่ากลัวกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาเดินท่อมๆ คนเดียวกลางดึก แถมดันเป็นวันที่ผู้คนที่เธอมักจะเห็นว่าพอมีเดินกันอยู่บ้างกลับไม่มีใครเลยในขณะนี้ และมนสิการก็อดใจสั่นไม่ได้ด้วยความกลัว คงต้องยอมรับว่าการมาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้แถมเธอเองก็เพิ่งมาอยู่ได้ไม่ครบเดือนดีย่อมต้องหวาดกลัวบ้างเป็นธรรมดา
และเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินเพื่อให้ไปถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด มนสิการจึงไม่ได้สังเกตว่าในตอนนี้เธอกำลังถูกดักต้อนด้วยผู้ชายท่าทาง น่ากลัวสามคน จนกระทั่งหนึ่งในนั้นมาหยุดยืนดักหน้าเธอเอาไว้ มนสิการจึงหยุดเดินแล้วขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความงงงัน และด้วยความที่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับตนเอง หญิงสาวจึงตัดสินใจเบี่ยงกายหลบฝ่ายนั้น ทว่าเขาก็ก้าวตามเพื่อดักหน้าเธอเช่นเดิม มนสิการใจสั่น เริ่มรู้สึกหวาดกลัวกับคนตรงหน้า แล้วยิ่งพอเหลียวหลังไปมองก็เห็นว่ามีผู้ชายท่าทางน่ากลัวไม่แพ้กันดักรออยู่ทางด้านหลัง และขางขวามือก็มีอีกคน ซึ่งทำให้หนทางการหนีของเธอถูกปิดตายโดยสมบูรณ์เพราะทางซ้ายมือของเธอคือตึกสีอิฐที่เธอเดินเรียบตามทางเดินมาตั้งแต่ออกมาจากรถไฟใต้ดินแล้ว
“ขอทางด้วยค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่พยายามข่มให้ราบเรียบ เพื่อไม่ให้คนพวกนี้ได้ใจว่าเธอกำลังกลัวพวกเขา ทว่าหนึ่งในนั้นนอกจากจะไม่หลบตามที่ร้องขออย่างสุภาพแล้ว กลับเดินเข้ามาใกล้เธอยิ่งกว่าเดิม จนมนสิการถอยกรูดแทบไม่ทัน
“จะไปไหนเหรอน้องสาว...”
หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในเสื้อโค้ตตัวยาวของตนเอง กำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น บ้าจริง! รู้อย่างนี้เธอน่าจะตั้งเบอร์ฉุกเฉินเอาไว้เสียก็ดี เวลาเกิดเหตุการณ์สุดวิสัยแบบนี้เธอจะได้รีบโทรขอความช่วยเหลือได้ทันการณ์
“ขอทางฉันด้วย ก่อนที่ฉันจะ...” หญิงสาวขู่อีกฝ่าย พร้อมกับรีบปลดล็อกหน้าจอสมาร์ทโฟนของเธอเพื่อโทรขอความช่วยเหลือ ทว่าฝ่ายนั้นกลับฉวยข้อมือเธอบีบเอาไว้แน่นจนหญิงสาวเจ็บแปลบแทบจะปล่อยมือถือตกด้วยความตกใจ ซึ่งหนึ่งในคนพวกนั้นก็รีบยื้อแย่งโทรศัพท์ไปจากมือเธออย่างรวดเร็ว
การจู่โจมที่กระทันหันและรวดเร็วนั้น ส่งผลให้มนสิการถึงกับใจสั่นด้วยความหวาดกลัว เธอเริ่มสะบัดข้อมือแล้วพยายามจะวิ่งฝ่าผู้ชายตัวโตๆ สามคนทว่านอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว หนึ่งในพวกนั้นยังพูดจาเยาะเย้ยเธออย่างน่ารังเกียจเสียด้วย
“น้องสาวคนสวยคงจะไม่ได้ไปไหนหรอก นอกจากไปกับพี่”
“พวกนายคิดจะทำอะไร”
หญิงสาวตะโกนถามเสียงดังด้วยความตื่นตระหนก เมื่อพวกมันเริ่มเข้ามากลุ้มรุมเธอ สองคนยึดจับแขนเธอคนละข้าง ขณะที่อีกคนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังก็เดินเข้ามาประชิดตัวเธอด้วยสีหน้าน่ากลัว
“ไปกับเราดีๆ เถอะ ก่อนที่เธอจะเจ็บตัวมากไปกว่านี้”
มนสิการเบิกตากว้าง เมื่อเห็นว่าที่ไกลลิบๆ นั้นมีคนเดินผ่านมา หญิงสาวตัดสินใจกรีดร้องตะโกนขอความช่วยเหลือทันที ด้วยหวังว่าจะมีใครได้ยินเสียงของเธอบ้าง
“กรี๊ดดด ช่วยด้วย!”
“ไม่มีใครกล้ายุ่งเรื่องนี้หรอกน่าแม่ลิงเหลือง!” หนึ่งในนั้นหัวเราะด้วยสีหน้าเย้ยหยัน จากลักษณะแล้วดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าของสองคนที่ยึดจับข้อมือเธอเอาไว้ “เอาล่ะ จับตัวยัยนี่ไว้ให้ได้”
เขาสั่งลูกน้องตนเองให้จับมนสิการที่ดิ้นรนต่อสู้เอาไว้แน่นๆ ก่อนจะค่อยๆ บรรจงใช้ยาสลบเทลงบนผ้าผืนหนาที่เตรียมเอาไว้พลางแสยะยิ้มส่งให้หญิงสาว แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปหาเธอช้าๆ
มนสิการรู้แล้วว่าพวกนี้จะทำอะไรเธอจึงได้แต่ร้องปฏิเสธดังลั่น “คิดจะทำอะไรน่ะ ปล่อยฉัน อื้อ! อื้อ!” ทว่าร้องไปได้ไม่กี่คำ ผ้าผืนหนานั้นก็โปะอัดจมูกและปากของเธอ แม้เธอจะพยายามกลั้นลมหายใจเท่าไรก็ไม่เป็นผล เพราะเมื่อเธอเผลอสูดลมหายใจ ไม่กี่วินาทีต่อมามนสิการก็เริ่มรู้สึกง่วงงุนอย่างเฉียบพลัน
แล้วจากนั้น...โลกทั้งใบก็พลันดับวูบลง
วิโตได้รับรายงานจากผู้เป็นลูกน้องคนสนิทกลางดึกคืนนั้นว่าได้ผู้หญิงที่ต้องการแล้ว พอเช้าวันต่อมา ชายหนุ่มจึงติดต่อเพื่อนสนิทที่มาขอความช่วยเหลือตนเองตั้งแต่เช้าเพื่อแจ้งข่าวดีเช่นนี้ให้อีกฝ่ายได้รับทราบ
“ได้คนมาแล้วนะ แกจะให้ส่งไปที่ไหน” วิโตถามปลายสายด้วยน้ำเสียงนึกสนุก เพราะตนเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเพื่อนสนิทมีแผนอะไรอยู่ ถึงแม้จะคาดเดาได้ไม่ยากนักหรอกว่ามันเป็นแผนสำหรับ ‘ใคร’ ทว่าความสนุกอยู่ตรงที่รอดูผลลัพธ์ต่างหากล่ะว่ามันจะเป็นอย่างไร
“โรงแรมเลสซี ส่งไปที่ห้องของกับไคลน์ เพนเดิลตัน”
ชื่อที่หลุดออกมาจากปากนั้นไม่ผิดจากที่คาดคิดเสียเท่าไร วิโตอดยิ้มมุมปากไม่ได้
“พี่แกนี่” เขาเอ่ยทักท้วงด้วยน้ำเสียงเจือแววขบขันน้อยๆ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น้อยคนจะรู้ ทว่าเพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทกับ แพททริก แมคคอล จึงได้พลอยรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญตั้งแต่สมัยที่อีกฝ่ายเมาแอ๋ตอนเรียนไฮสกูล แล้วเผลอเล่าเรื่องนี้ออกมาด้วยความคับแค้นใจ
“ฉันไม่นับญาติกับมัน”
แพทริกเอ่ยเสียงห้วนเมื่อถูกล้อเลียนจากเพื่อนซี้ด้วยเรื่องที่เขาเกลียดที่สุดเรื่องนี้
วิโตหัวเราะหึในลำคอ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเจือแววขบขันปนอยากรู้ “แกส่งให้เขาทำไม?”
แค่คิดถึงหน้าของไคลน์ เพนเดิลตันตอนที่รู้เรื่องทั้งหมดแล้วเขาก็อดสะใจไม่ได้เมื่อคิดถึงสีหน้าโกรธจนจะคลั่งของพ่อมดการเงิน
“ของขวัญน่ะ...” แพททริกตอบสั้นๆ
“หือ?” วิโตได้แต่ครางในลำคออย่างสงสัย คนฟังจึงขยายข้อความของตนเองต่อไปว่า
“ของขวัญสำหรับการร่วมธุรกิจกันไง”
คราวนี้วิโตอดหัวเราะในลำคอไม่ได้ ก่อนจะรับปากตามที่อีกฝ่ายร้องขอมา “เออ ฉันจะจัดการให้เรียบร้อย”
วันต่อมา
เสียงเพลงในคลับดังกระหึ่มเป็นจังหวะร้อนแรง นักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติต่างออกไปเต้นกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงเนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ทว่าหนึ่งในคนที่สนุกสุดเหวี่ยงนั้นกลับไม่รวมไคลน์ เพนเดิลตันอยู่ในนั้นด้วย
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เจอกับพวกแมคคอล แถมกำลังอยู่ในช่วงเบื่อหน่ายผู้หญิง เพราะเขาก็เพิ่งเลิกกับคู่ควงคนล่าสุด ตอนนี้เลยยังไม่มีกระจิตกระใจที่จะหาใหม่ในช่วงนี้
“แกทำไมทำอย่างนั้นวะ ไม่สนุกหรือยังไง”
อเล็กซิสเดินโฉบเข้ามาหาไคลน์ที่ทำตัวเป็นอาสาสมัครเฝ้าโต๊ะให้กับพวกเขา ซึ่งแยกย้ายกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง อ้อ! แต่คงมีไอ้เจ้าของคลับนั่นแหละที่แยกไปทำงาน ทว่าก็ส่งลูกน้องมาคอยดูแลและบริการเพื่อนฝูงเป็นอย่างดี
“ไม่มีอะไร เบื่อๆ ”
ไคลน์ตอบขณะที่ค่อยๆ ละเลียดดื่มคอนญัก ด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย
“หรือขาดผู้หญิงไปนาน จัดให้สักคนดีไหม” อเล็กซิสเอ่ยถามเสียงกระเซ้า เพราะได้ยินมาว่าเพื่อนสนิทเพิ่งเข้าสู่สถานะโสดอีกครั้ง
ไคลน์ไม่เคยคบผู้หญิงหลายๆ คนพร้อมกัน เมื่อคบเขาก็จริงจังกับคนๆ เดียว เพียงแต่ว่าระยะเวลาของการจริงจังนั้นอาจจะสั้นไปหน่อย เขาจึงขึ้นทำเนียบผู้ชายเจ้าชู้ของวงสังคมในลอนดอนไปอีกคนโดยปริยาย
“เสือกน่าอเล็กซ์” ไคลน์ตอบเพื่อนซี้ขี้เล่นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
อเล็กซิสยักไหล่ ยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่อีกฝ่ายร้องขอ
“แล้วแกจะกลับวันไหน”
“มะรืนนี้แหละ” ไคลน์ตอบตามตรง “ไม่คิดจะอยู่นานหรอก”
อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาอาจไม่ได้เกลียดที่นี่เท่าไรแต่ก็ไม่ชอบ และเหตุผลเดียวที่เขาไม่ชอบก็เพราะเขาเกลียดพวกแมคคอลนั่นแหละ
“สนใจอยากไปสเปนกับฉันก่อนไหม” อเล็กซิสเอ่ยชักชวนอีกฝ่าย เพราะเห็นว่าไคลน์มีท่าทีเหนื่อยหน่ายจริงๆ
หลังจากเสร็จธุระจากที่นี่แล้ว เขากะว่าจะเดินทางไปยังสเปนต่อพร้อมกับเลอานโดรซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ที่นั่นจึงถือโอกาสไปตรวจกิจการของตนเองที่นั่นพอดีหลังจากเอาแต่โยนให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาจัดการมานาน
เหตุที่ได้มารวมตัวกันที่แมนฮัตตันนี่เพราะได้ยินว่าไคลน์จะมาเป็นเหตุผลหนึ่งล่ะ ทว่าพวกเขาก็ได้ถือโอกาสมาเยี่ยมเยียนมาเรียสซึ่งต้องมาดูแลกิจการของวาคอนซีเลสพอดี แม้ว่าส่วนใหญ่มาเรียสจะปักหลักใช้ชีวิตที่บราซิลก็ตาม เนื่องจากที่นั่นเป็นบ้านเกิดของมาเรียสนั่นเอง
พวกเขาทั้งห้าคนไคลน์ มาเรียส เลอานโดร ราฟาเอลและเขา... อเล็กซิส ต่างเรียนร่วมกันที่ไฮสคูลที่อังกฤษ พวกเขากลายเป็นกลุ่มแก๊งเพื่อนเดียวกันเพราะเป็นรูมเมทกันที่โรงเรียนประจำแห่งนั้น แล้วตามกันมาเรียนที่อเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เรียนในสาขาเดียวกันนั่นแหละ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว สำหรับชีวิตวัยรุ่นอันสนุกสุดเหวี่ยงนั่น
“ไม่ล่ะ ฉันต้องกลับไปจัดการเรื่องงานต่อ” ไคลน์ปฏิเสธเสียงเรียบ ตอนนี้นึกห่วงเรื่องงาน และแผนการถอนรากถอนโคนพวกแมคคอลในขั้นต่อไป
“ขยันจริงๆ นะ” อเล็กซิสมองอีกฝ่ายด้วยสายตาระอาเพื่อนสนิทที่อุตส่าห์ชวนมันออกมาเที่ยวให้มันได้หายเซ็ง แต่มันกลับดันมานั่นทำหน้าเซ็งในคลับแทนเสียนี่ “แกจะรวยไปไหน เงินไม่ค่อยจะมีเวลาใช้ด้วยนี่” อเล็กซิสเอ่ยแซว
ไคลน์ส่ายหน้าช้าๆ อย่างขบขันเล็กน้อยกับคำแซวนั้น ทั้งๆ ที่ไอ้คนที่แซวเขานี่มันก็ไม่ได้มีเงินน้อยไปกว่าเขาเลย
“ไม่มีใครบ่นหรอกน่ะว่ามีเงินมากเกินไป อย่างน้อยพวกแกก็ไม่เห็นจะบ่นกันนี่ จริงไหม” ไคลน์พูดพลางคลี่ยิ้มหยัน ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นว่าเพื่อนๆ ของตนเองเดินกลับมาที่โต๊ะกันอย่างพร้อมหน้า และได้ยินประโยคที่พวกเขาสองคนตอบโต้กันพอดี
“เออ” ราฟาเอลเอ่ยขึ้นเสียงห้วน กระแทกตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้คนขวางโลกแล้วแย่งคอนญักในมืออีกฝ่ายมาดื่มเสียเองรวดเร็ว แม้จะรู้สึกแสบร้อนไปทั้งลำคอเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แต่ก็ไม่บ่น
“เลิกพูดเรื่องงานเถอะว่ะ ปวดหัว” เลอานโดรแย้งขึ้นมาขำๆ แล้วเป็นฝ่ายทรุดลงนั่งข้างๆ อเล็กซิส โดยลากเอามาเรียสติดมือมาด้วยกัน “เอ้า ชนแก้ว ช่วงนี้ถือเป็นวันดีที่ได้มาพักผ่อนด้วยกันโว้ย” เลอานโดรพูดจบก็คว้าเอาขวดบรั่นดีมารินแจกทุกๆ คนโดยพร้อมเพรียงกัน
“ไม่เมาไม่เลิก!” อเล็กซิสเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างสนุกสนาน ขณะที่คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็อดยิ้มตามไปกับท่าทางสนุกเฮฮาของคนที่ตั้งใจมาปล่อยตัวในค่ำคืนนี้ไม่ได้