ในยุคโบราณนั้นจารีตประเพณีถือเป็นเรื่องเคร่งครัดมาก สตรีต้องอยู่ในข้อห้าม ‘สี่จรรยา สามคล้อยตาม' จึงจะถือเป็นสตรีที่ควรค่าแก่การแต่งเข้ามาครองเรือน
ทว่า… เจ้าสาวที่กำลังแต่งเข้าจวนโหวผู้นี้ กลับมิได้เป็นที่ปรารถนาของสกุลฟู่แม้แต่น้อย สำหรับพวกเขานางคือตัวอัปมงคลที่น่ารังเกียจ ไม่คู่ควรเหยียบย่างเข้ามาด้วยซ้ำ
เมื่อถึงเวลาทำพิธี เสียงซุบซิบนินทาจึงแว่วมาให้ได้ยิน
เจ้าบ่าวกำมือแน่น แก้มสากขึ้นเป็นสันนูน หากวันนี้ไม่มีนางกำนัลคนสนิทของไทเฮาอยู่ด้วย มีหรือเขาจะยอมเข้าพิธี
ส่วนเจ้าสาว ยังคงยืนนิ่งไม่มีท่าทางตื่นตระหนก แม้รอบตัวจะเต็มไปด้วยคำนินทาว่าร้ายขั้นรุนแรง
ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้หวั่นอันใด…
เมื่อเวลาผ่านไป เป็นยามที่ทั้งคู่ต้องคำนับกัน เจ้าสาวก็ทำตามโดยไม่อิดออด ทว่าเจ้าบ่าวนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ และเขาก็จ้องนางด้วยนัยต์ตาคมดุ อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ท่านโหวคำนับ” เสียงนางกำนัลไทเฮาเอ่ยเตือน
ฟู่อินโหววัยสามสิบสองจึงต้องโค้งลงตามธรรมเนียม ทว่าเขาไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด เขาเกลียดชังสตรีตรงหน้าเป็นที่สุด
“ส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้องหอ” เสียงแม่สื่อประกาศลั่น ร่างอรชรสูงแค่ไหล่สามีจึงถูกประคองออกไปจากห้องทำพิธี
ตามมาด้วยเสียงซุบซิบนินทาที่ดังขึ้นอีกหน
นางกำนัลผู้รับหน้าที่จึงเอ่ยกับเจ้าของจวนอย่างนอบน้อม“หมดธุระแล้ว ข้าน้อยคงต้องขอตัวกลับไปรายงานให้ไทเฮาทรงทราบก่อนเจ้าค่ะ” นางย่อตัวให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้วก็เดินออกมา
“อาหลี่เหตุใดเจ้าถึงไม่ช่วยคัดค้านการแต่งงานครานี้ เจ้าเป็นสหายของข้านะ เหตุใดไม่ช่วยร้องขอไทเฮาให้เปลี่ยนรับสั่ง” ฮูหยินรองฟู่รีบเอ่ยกับสหายเก่าที่เคยรู้จักกันก่อนที่นางจะเข้าวัง
“ข้าจะไปมีสิทธิ์มีเสียงอันใดกัน สกุลมู่เคยมีบุญคุณกับไทเฮามาก่อน เจ้าเองก็รู้มิใช่หรือ พระองค์ทรงเห็นแก่เรื่องนี้ จึงได้พระราชทานสมรสให้คุณหนูรองมู่แต่งกับท่านโหว เพื่อสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล หากจะโทษก็ต้องโทษท่านโหวของเจ้า อายุจนป่านนี้แล้วยังไม่ยอมแต่งงาน สุดท้ายก็ต้องมาแต่งกับหญิงอัปมงคลจนได้ อ๊ะ” นางกำนัลหลี่รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตนไว้ เมื่อครู่ลืมตัวจึงเอ่ยออกไปไม่คิด หากมีใครเอาเรื่องนี้ไปรายงานต่อไทเฮา มีหวังนางถูกโบยหลังลายเป็นแน่
ฟู่ฮูหยินจึงได้แต่ทำหน้าสลด “ข้าจะไปมีสิทธิ์บังคับอันใดเขาได้เล่า ขนาดไท่ฮูหยินยื่นคำขาดบอกว่าจะออกบวช ท่านโหวก็ยังปฏิเสธเสียงแข็ง บอกให้รับอนุสักคนเขาก็ไม่ยอม สุดท้ายก็ได้แต่งกับสตรีไร้ยางอายจนได้ ข้าล่ะเจ็บใจนัก”
นางกำนัลหลี่จึงยิ้มแหยให้กับสหายเก่าซึ่งไม่ได้สนิทกันเลยสักนิด “เจ้าก็ค่อย ๆ คิดหาวิธีเถิด ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน”
“อือ…ขอบใจเจ้ามาก” ฮูหยินรองฟู่เอ่ยแล้วเดินออกมาส่งที่หน้าจวน เมื่อคล้อยหลังรถม้าบุตรสาวคนเล็กก็เอ่ยว่า
“ท่านแม่ อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ ต่อให้นางแต่งเข้ามาแล้วจะอย่างไร ใช่ว่าเราจะทำให้นางออกไปไม่ได้นี่เจ้าคะ”
ฟู่ซือเหนียงจึงหันมาหาบุตรสาวทั้งสองที่ตามออกมาด้วย
“ใช่ท่านแม่ ลูกกับน้องเล็กจะจัดการเองเจ้าค่ะ สตรีชั่วช้าไร้ยางอายเช่นนี้ ไหนเลยจะคู่ควรกับพี่ใหญ่ของเรา” ฟู่ซือหลิงเอ่ยอย่างถือดี ก่อนจะเผยยิ้มร้ายออกมาราวกับตนทำสำเร็จแล้ว
“ก็ดี เอาให้นางเก็บของหนีภายในสามวันได้เลยยิ่งดี” ผู้เป็นมารดาเห็นชอบด้วย จากนั้นก็พากันเดินเข้างาน
ส่วนเจ้าบ่าวยังคงนั่งดื่มสุรากับเหล่าสหายด้วยท่าทางหงุดหงิด หนึ่งในนั้นมีผู้บัญชาการองครักษ์เกราะดำรวมอยู่ด้วย เพราะทั้งคู่เป็นสหายรักที่คบหากันมาตั้งแต่ยังเยาว์
“ข้าบอกให้เจ้าหาคุณหนูดีดีมาแต่งตั้งนานแล้ว แต่เจ้ากลับดื้อดึงไม่ยอม เป็นอย่างไร ได้แต่งกับสตรีที่มั่วบุรุษไม่เลือกเลยเห็นหรือไม่” หัวหน้าหออาลักษณ์นามว่าสือไห่ สหายอีกคนเอ่ยหยันผู้ที่นั่งอยู่โต๊ะกลาง ซึ่งบัดนี้มีใบหน้าบูดบึ้งนัก
“ข้าน้อยได้ยินว่าคนล่าสุดที่นางเข้าหา คือบุตรชายท่านกั๋วกงขอรับ และยามนี้ซูเหวินอี้ได้พาสหายมาร่วมงานหลายคนเลยขอรับ” เว่ยซาคนสนิทท่านโหวเอ่ยรายงานให้ผู้เป็นนายรู้
ปัง!
จอกสุราแตกคามือฟู่อินโหวทันที
“คิดจะมาหยามข้ากระนั้นหรือ” ร่างสูงสง่าลุกพรวดขึ้น ใบหน้าเขาแดงก่ำ มือก็กำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน เพราะในใจเขาคุกรุ่นจนยากเกินจะควบคุมได้แล้ว แม้ยามปกติเขาเป็นคนสุขุม แต่ครานี้เหลืออดจริง ๆ อีกฝ่ายมาหยามถึงที่ใครจะยอม
“ช้าก่อน! อินหลาง เจ้าคิดจะทำอะไร หมายจะทำให้ตนขายหน้ายิ่งกว่าที่เป็นหรือ” ซ่งเทียนรีบเอ่ยเตือนสหาย
“แล้วเจ้าจะปล่อยให้มันมาหยามข้าเช่นนี้หรือ เจ้าก็รู้ว่าข้ากับมันเป็นศัตรูกันมานาน วันนี้มันตั้งใจมาทำให้ข้าเสียหน้า ข้าไม่ควรปล่อยมันไว้” ฟู่อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ ทว่าสหายก็ไม่ยอมให้เขาออกไปจัดการกับคนที่คิดจะมาป่วนงาน
“เจ้าตั้งสติก่อน หากเจ้าออกไปอาละวาดก็เข้าทางมันน่ะสิ เหวินอี้มันจะยิ่งได้ใจนะ” ซ่งเทียน หัวหน้าองครักษ์เกราะดำยังคงเตือนสติสหาย เขารู้ว่าอินหลางรักศักดิ์ศรีมาก เขาเองก็ไม่ต่างกันนัก ทว่าจะทำการหุนหันพลันแล่นไม่ได้ อีกฝ่ายมาร่วมยินดีตามปกติ แม้ในใจมีเรื่องราวแอบแฝงก็ตามที
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ควรกระทำการบุ่มบ่าม
“นั่นสิ เจ้าใจเย็นเถิดนะ ยิ่งเจ้าออกไป เรื่องราวมันจะยิ่งบานปลายไม่รู้หรือ ประเดี๋ยวข้ากับซ่งเทียนจะออกไปจัดการเอง เจ้ารอฟังข่าวอยู่ที่นี่เถิด” สือไห่รีบเอ่ยช่วยอีกแรง
ขณะนั้นเอง ผู้ที่ถูกกล่าวถึงก็เดินเข้ามา พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม และเขาก็ไม่ได้เดินเข้ามาเพียงคนเดียว แต่ยังมีชายหนุ่มรุ่นเดียวกันเดินตามเข้ามาอีกนับสิบ
“ข้าก็ตามหาตัวเจ้าบ่าวเสียตั้งนาน นึกไม่ถึงว่าท่านโหวจะแอบมาฉลองกับสหายอยู่ในที่ลับตาคนเช่นนี้ ข้าหรืออุตส่าห์เตรียมคำอวยพรเสียตั้งเยอะ เกือบไม่ได้ใช้เสียแล้วสิ” ผู้มาใหม่กล่าวหยัน ก่อนจะยิ้มเยาะบุรุษที่เป็นคู่แค้นของตน
“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา” สือไห่คำรามใส่ทันที
ด้านซ่งเทียนรีบรั้งสหายของตนไว้ เขาเกรงอินหลางจะคุมตนเองไม่อยู่ เพราะดื่มไปมากแล้วและยามนี้ยังมีโทสะอีก
“เราก็คนกันเองทั้งนั้น ใต้เท้าจ้าวอย่าได้ขับไล่กันสิ เราก็แค่มาร่วมยินดีกับบุรุษที่ได้ครองคู่กับน้องตันหยงของพวกเราก็เท่านั้น ไม่เห็นต้องขับไล่กันอย่างไม่ใยดีเลย” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะอย่างขบขัน
“ใช่ ๆ อย่างไรเราก็มีภรรยาคนเดียวกัน ควรจะร่วมกันอวยพรมันถึงจะถูกต้อง ไหนล่ะสุรามงคล รีบ ๆ ไปเอามาไวไว” ชายอีกคนกล่าวขึ้นอย่างสนุกปาก เป็นเหตุให้ฟู่อินโหวเริ่มคุมตนเองไม่อยู่ อินหลางเดินตรงมาหมายจะพุ่งเข้าหาคนปากร้าย
ซ่งเทียนจึงต้องรีบรั้งไว้ก่อนที่สหายตนจะไปถึงตัว แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งได้ใจ ตั้งท่าจะเย้ยหยันอีกครา ทว่ายังไม่ทันที่กลุ่มของเหวินอี้จะได้กล่าวอันใดอีก สาวใช้สี่นางก็ยกถาดสุราเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ทุกคนต้องหยุดชะงัก
“ท่านโหว นี่เป็นสุรามงคลที่ไทเฮาทรงพระราชทานมาให้พร้อมกับการแสดงเล็กน้อยเจ้าค่ะ ทรงกำชับว่า วันนี้เป็นวันดีอย่าได้ทำเสียฤกษ์เจ้าค่ะ” ภายในห้องก็เงียบลงถนัดตา เพราะคำบอกเล่านี้มันเท่ากับว่าพวกเขากำลังถูกเบื้องบนเพ่งเล็งอยู่
ทว่าคนมีโทสะและคนที่ตั้งใจมาก่อกวนไหนเลยจะยอมจบง่าย ๆ แม้จะมีคำตักเตือนลงมา พวกเขาก็ยังมองกันด้วยแววตาคุกรุ่นอยู่ดี โดยเฉพาะซูเหวินอี้และฟู่อินหลาง
ทว่าพวกเขายังต้องเก็บความคุกรุ่นนี้ไว้ในใจ เพราะสาวใช้ทั้งสี่นางนี้ไม่ยอมออกไปจากห้องรับรอง และพวกนางก็ยังคงเชื้อเชิญให้ทั้งหมดนั่งลง โดยบอกว่าต่อจากนี้จะมีการแสดงอีก
“ไทเฮาหมายจะทำสิ่งใด ไยต้องส่งคนมาคอยสอดส่องเจ้า” สือไห่กระซิบถามสหายที่นั่งขบกรามแน่น สายตายังจ้องบุรุษที่มาหยามเกียรติตนถึงที่ และยังนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่อีก
ทว่ายังไม่ทันที่หัวหน้าหออาลักษณ์จะได้คำตอบ
เสียงดนตรีขับกล่อมก็ดังขึ้นมา ไม่ถึงอึดใจพวกเขาก็เห็นร่างอรชรในชุดสีแดงพลิ้วไหว ก้าวเขย่งกึ่งกระโดดเข้ามาในห้องราวกับร่างกายนั้นไร้ซึ่งน้ำหนัก ท่วงท่าร่ายรำช่างอ่อนช้อย ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาทุกคู่กลับเป็นใบหน้างามของนางต่างหาก
“อ่า… เทพธิดาลงมาจุติบนโลกมนุษย์แล้ว” เสียงพร่ำเพ้อดังขึ้นทันที