ท้องฟ้ามืดครึ้มปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆขนาดมหึมาที่อุ้มน้ำไว้เต็มกำลังพร้อมที่จะปล่อยสู่เบื้องล่าง เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้คนเตรียมรับมือกับการเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ ปุณณดารีบวิ่งเข้าบ้านก่อนที่สายฝนจะเทกระหน่ำลงมาอย่างฉิวเฉียด สองมือกอดเสื้อผ้ากองโตที่เพิ่งเก็บมาจากราวตากด้านหลังบ้าน หญิงสาววางของในมือลงบนชั้นวางของข้างตัว ก่อนจะปัดละอองน้ำฝนที่เกาะอยู่ตามเสื้อผ้า อดที่จะมองออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้ สายฝนตกหนาเม็ดและไม่มีทีท่าจะหยุดง่าย ๆ พานทำให้นึกเป็นห่วงใครบางคน... เขาจะจำวันสำคัญวันนี้ได้ไหม
วันครบรอบแต่งงานสี่ปีของเธอและเขา...
เธอได้เตรียมของขวัญชิ้นสำคัญไว้ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มยามที่มือบางวางลงบนหน้าท้องแบนราบ เธอคลี่ยิ้มอ่อนหวาน รู้สึกรักและหวงแหนเมื่อรู้ว่ามีอีกหนึ่งชีวิตได้ก่อกำเนิดขึ้นจากความรักที่แม่มีต่อพ่อของแก หลายวันมานี้ปุณณดารู้สึกเวียนหัว หน้ามืด ตาลาย และอยากจะอาเจียนอยู่บ่อยครั้ง เธอไม่ใช่เด็กสาววัยสิบแปดที่จะไม่ประสีประสา เช้าวันนี้จึงออกไปยังร้านขายยาที่หน้าปากซอย ผลที่ออกมาทำเอาหญิงสาวเกือบเก็บอาการไว้ไม่อยู่อยากจะโทรไปบอกให้เขารู้ แต่ก็ยับยั้งไว้ได้ทัน
‘ปอย... ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญไม่ต้องโทรหาพี่... พี่ยุ่งมาก มีอะไรค่อยกลับมาคุยกันที่บ้าน’
นั่นคือคำสั่งจากคนที่เป็นสามี แต่ปุณณดาไม่เคยคิดมาก ไม่เก็บเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาขบคิดให้เป็นปัญหา เธอเข้าใจเพราะรู้ว่าเขางานยุ่ง สามีของเธอเป็นคนเก่ง เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง ปีนี้เขาได้รับตำแหน่งรองประธานบริษัท นรวีร์เป็นลูกชายคนโตของบ้าน เป็นหลานคนโตของตระกูล เขามีพี่น้องสองคน น้องชายขอทำตามความฝันด้วยการเป็นหมอในโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งโดยที่พ่อแม่ก็ไม่ขัด เพราะรู้ว่านรวีร์สามารถรับมือและนำพาธุรกิจให้เติบโตรุ่งเรืองได้ แต่บางครั้งเขาก็เครียดเธอดูออก อาจจะเพราะเป็นความหวังของทุกคนตั้งแต่เล็กจนโต ครอบครัวของเขาเป็นนักธุรกิจมาตั้งแต่สมัยรุ่นทวด สืบทอดกิจการบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของบริษัทชั้นนำของเมืองไทยมาจนถึงรุ่นเหลนก็คือรุ่นของเขา ไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลนี้ กิจการของเขาครอบคลุมตั้งแต่บ้านจัดสรร บ้านเดี่ยว คอนโดหรูทำเลทอง และในขณะนี้เขาก็ยังจับมือร่วมลงทุนกับนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียที่ในประเทศไทยอีกด้วย เธอไม่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากของเขา นรวีร์ไม่มีเวลาว่างมาคุยเรื่องเหล่านี้ให้เธอฟัง อีกทั้งตั้งแต่เรียนจบมา ปุณณดาก็ไม่เคยทำงานนอกบ้าน เธอไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ เขาคุยมาก็คงเสียเวลาเปล่า นั่นเพราะเขาขอร้องให้เธอเป็นแม่ศรีเรือนคอยดูแลความเรียบร้อยในบ้าน ซึ่งเธอก็เต็มใจแม้ว่าจะถูกมองว่าทำตัวเป็นหนูตกถังข้าวสารก็ตาม
จุดเริ่มต้นที่ทำให้เทพบุตรโน้มตัวลงมาเกลือกกลิ้งกับดอกหญ้าที่ไร้ราคาอย่างเธอ ทำเอาหญิงสาวอมยิ้มแก้มแดงปลั่งทุกครั้งที่นึกถึง วันนั้นฝนตกหนักเหมือนอย่างวันนี้ ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งถือร่มเดินฝ่าสายฝนมาบ้านที่เธออาศัยอยู่เพื่อถามหาพี่ชาย ทุกอย่างเหมือนภาพฝัน เขาช่างตรึงตราตรึงใจจนเธอไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย สายตาของเธอและเขาประสานกันนิ่ง นั่นก็ทำให้เธอรู้ว่าไม่ได้คิดเช่นนั้นอยู่ฝ่ายเดียว นรวีรย์ขยันทำคะแนนเทียวไล้เทียวขื่ออยู่หลายเดือน จนในที่สุดเธอก็ตอบตกลงคบหากับเขา ตอนนั้นเธอเรียนอยู่ปีสุดท้าย เขาทำหน้าที่เป็นสารถีคอยรับส่งจนผู้ปกครองของเธอวางใจ ปุณณดาเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เธออายุสี่ขวบ ญาติพี่น้องก็ไม่มี พ่อแม่ของเธอเช่าบ้านของวดีอยู่อาศัย เมื่อหมดบุญผู้ให้กำเนิด วดีจึงเมตตารับเลี้ยงส่งเสียให้เธอร่ำเรียนมีความรู้ เธอจึงรักปัฐน์เสมือนพี่ชายแท้ ๆ และรักวดีเหมือนแม่อีกคน
เมื่อเรียนจบนรวีร์ก็มาสู่ขอเธอจากป้า โดยขอจดทะเบียนสมรสก่อน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจะจัดงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ วดีก็แล้วแต่เธอ ส่วนปัฐน์ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก แต่เพราะเธอรักนรวีร์มาก งานเลี้ยงฉลองสมรสจึงเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หญิงสาวจำได้ว่าปัฐน์นั้นโกรธมาก ไม่คุยกับเธอจนคนเป็นป้าต้องไปช่วยพูดให้เขาใจอ่อนลง และยอมมาร่วมงานแต่งในฐานะญาติทางฝั่งเจ้าสาว
งานแต่งเล็ก ๆ แต่อบอุ่นถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่บ้านหลังนี้ นรวีร์ซื้อบ้านหลังนี้ให้เป็นชื่อของเธอเพื่อมอบให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน บ้านเดี่ยวขนาดหนึ่งร้อยตารางวาหลังนี้อยู่ในโครงการที่เขาเป็นเจ้าของ ยิ่งทำให้ปุณณดามั่นใจว่าเขารักเธอจริง ในงานแต่งหญิงสาวเชิญเพื่อน ๆ ที่สนิทมาแค่ไม่กี่คน วดีที่เป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายเธอ และทางสามีก็มีแค่เพื่อนสองสามคนซึ่งรวมปัฐน์ด้วย ไม่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ซึ่งเธอก็พยายามเข้าใจ