ตอนที่ 10
ไม่คิดจะบอกกันเลย
“หมอคีย์คะบ่ายนี้หนูขอกลับไปที่บ้านนะคะ จะเอาเงินไปให้แม่ค่ะ” ขวัญนภัสบอกกับคุณหมอเจ้าของบ้านหลังจากเขาโอนเงินเดือนให้เธอในช่วงเช้า
“เธอจะค้างกับแม่เลยก็ได้นะ ฉันเองก็จะไม่กลับมาเหมือนกันเจอกันอีกทีก็นู่นแหละเย็นวันอาทิตย์ แล้วเย็นวันอาทิตย์เธอไม่ต้องทำกับข้าวให้ฉันก็ได้นะ ฉันว่าจะกินมาจากข้างนอกเลย”
“ได้ค่ะหมอคีย์ หนูไปก่อนนะคะ” หญิงสาวบอกกับหมอคีรินทร์ก่อนจะเดินไปด้านหลังบ้าน
“แล้วจะไปทำไมหลังบ้านล่ะเฟิร์นประตูมันอยู่ด้านหน้านะ” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ
“หนูจะไปบอกนุ่มนิ่มก่อนค่ะ เดี๋ยวคืนนี้นุ่มนิ่มหาหนูไม่เจอแล้วจะตกใจ” เธอบอกก่อนจะเดินไปด้านหลังบ้านเสียงพูดคุยกับแมวส้มดังแว่วมาทำให้คุณหมอหนุ่มอดยิ้มไม่ได้
ดูเหมือนตอนนี้แมวส้มจะไม่สนใจเขาอีกเลยตั้งแต่ขวัญนภัสเข้ามาทำงานหญิงสาวคุยกับแมวแล้วก็เดินออกจากบ้านนั่งรถสองแถวที่หน้าปากซอยไปยังบ้านของตนเอง เธอแวะกดเงิน ซื้อของและขนมไปฝากน้องสาวด้วย
เมื่อไปถึงหน้าบ้านก็เห็นรถบรรทุกคันใหญ่จอดอยู่พร้อมกับผู้ชายอีกหลายคนกำลังช่วยขนกล่องลังใบใหญ่ขึ้นรถ ขวัญนภัสเห็นมารดาของเธอกำลังชี้นิ้วสั่งคนเหล่านั้นว่าเอาอะไรไว้ตรงไหนบ้างก็รีบเดินเข้าไปถาม
“แม่คะนี่จะขนของไปไหนกันคะ”
“ยัยเฟิร์น!....” ชุลีพรตกใจที่เห็นลูกสาวเพราะไม่คิดว่าเธอจะกลับมาที่บ้าน
“แม่ตกใจอะไรคะ”
“ก็แกมาเงียบๆ ”
“แล้วแม่จะเอาของไปไหนคะแม่” ขวัญนภัสถามย้ำอีกครั้ง
“ลุงเกษมเขาได้ทำงานเป็นผู้จัดการไร่ส้มที่เชียงใหม่น่ะ เขามีบ้านพัก มีสวัสดิการให้พวกเราก็เลยจะย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่”
“อะไรนะคะ แม่จะย้ายไปอยู่เชียงใหม่แล้วไม่คิดจะบอกหนูบ้างเหรอคะ”
“แกไม่ใช่แม่ฉันนะยัยเฟิร์นที่ฉันจะต้องรายงานแกทุกเรื่อง ฉันจะไปอยู่ไหนจะทำอะไรมันเกี่ยวอะไรกับแกล่ะ”
คำพูดของมารดาทำให้หญิงสาวรู้สึกอึ้งเพราะไม่คิดมาก่อนว่ามารดาจะไม่เคยแคร์ความรู้สึกของเธอเลยสักนิด
“แต่ก็น่าจะบอกกันบ้างนะคะ”
“บอกแกแล้วมันได้อะไรล่ะ หรือว่าแกจะมาช่วยฉันขนของ แต่ไหนๆ ก็มาแล้วแกก็เอาของแกไปเลยนะ ฉันเก็บใส่ถุงกองไว้ให้แก่แล้ว คิดว่าจะโทรบอกให้แกมาเอาเหมือนกันแต่พอดีฉันยุ่งอยู่นะ”
“แล้วแม่จะย้ายไปวันไหนคะ” ขวัญนภัสรู้สึกใจหายมากที่มารดาจะย้ายไปอยู่ที่อื่น
“พรุ่งนี้พวกเราก็จะเดินทางกันแล้วส่วนของพรุ่งนี้ก็จะให้ล่วงหน้าไปก่อน”
“ถ้าวันนี้หนูไม่กลับมาบ้าน หนูก็คงไม่รู้ใช่ไหมคะว่าแม่กำลังจะย้าย”
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันจะโทรให้แกมาเอาของ อย่าถามอะไรกวนใจมากได้ไหมฉันกำลังยุ่งอยู่นะ แล้วแกกลับมาทำอะไรล่ะหรือเจ้านายเขาไล่ออกแล้ว ถ้าจะกลับมาอยู่บ้านฉันก็เสียใจด้วยนะ บ้านหลังนี้ฉันยกเลิกสัญญาเช่าแล้วถ้าแกอยากจะมาอยู่ที่นี่ก็ต้องทำสัญญาใหม่แล้วก็จ่ายค่าเช่าเอง” ชุลีพรพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“หนูไม่ได้กลับมาอยู่หรอกค่ะ หนูแค่จะแวะมาดู”
“แวะมาดูหรือว่าจะแวะมาขอเงินล่ะ เงินไม่พอใช้ใช่ไหม แต่ฉันไม่มีให้แกหรอกนะ ฉันต้องจ่ายค่ารถขนของต้องจ่ายค่าใช้จ่ายอะไรอีกเยอะแยะ” ชุลีพรพูดตัดบทอย่างไร้เยื่อใย
ขวัญนภัสเอามือจับกระเป๋าแน่นจากที่คิดว่าจะมาที่บ้านเอาเงินให้มารดาไว้เป็นค่าใช้จ่ายความคิดก็เปลี่ยนไป
ในเมื่อมารดาไม่เคยคิดจะสนใจเธอแล้วทำไมเธอจะต้องสนใจด้วย พวกเขาไม่เห็นเธอเป็นคนในครอบครัวเลยขนาดว่าจะย้ายบ้านทั้งที่ยังไม่มีใครบอกอะไร
เธอเดินเข้าไปในบ้านเห็นอริสากำลังนั่งระบายสีอยู่ที่ห้องรับแขกก็รีบเข้าไปหาน้องทันที
“พี่เฟิร์นหนูคิดถึงพี่จังค่ะพี่”
“ก็คิดถึงอริสนะคะแล้วนี่ทำอะไร”
“ระบายสีค่ะ”
“ส่งคุณครูเหรอคะ”
“หนูคงไม่ได้ส่งแล้วพรุ่งนี้หนูต้องย้ายบ้าน พี่เฟิร์นคะเชียงใหม่มันอยู่ไกลไหมพี่จะไปหาหนูได้ไหม”
“เชียงใหม่มันอยู่ไกลมาก พี่ไม่รู้ว่าจะไปหาอริสได้หรือเปล่า”
“หนูไม่อยากไปเลยค่ะ หนูต้องย้ายโรงเรียนใหม่”
“ใช่จ้ะ แต่ที่นู่นเขาว่าอากาศดีนะอริสอาจจะชอบก็ได้”
“พี่เฟิร์นคะถ้าพี่เรียนจบแล้วพี่เฟิร์นไปอยู่กับหนูที่นั่นได้ไหมคะ” อริสาชวนไปตามประสาเด็ก
“พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ แต่อริสไปอยู่ที่โน่นเป็นเด็กดีนะ จำเบอร์โทรพี่ได้ใช่ไหม ถ้าคิดถึงพี่ก็โทรหาพี่ตกลงไหมล่ะ”
“ค่ะพี่เฟิร์น”
“อริสแบมือมาสิพี่มีอะไรจะให้”
“อะไรคะ” เด็กสาวแบมือออกอย่างว่าง่าย
ขวัญนภัสหยิบตุ๊กตาตัวเล็กที่เพิ่งซื้อมาวางบนมือน้องสาว
“น่ารักจังเลยค่ะพี่เฟิร์น” อริสายิ้มด้วยความชอบใจ
“น่ารักเหมือนอริสเลยนะ พี่เห็นปุ๊บก็นึกถึงอริสก็เลยซื้อมาฝาก”
“ขอบคุณค่ะ หนูชอบมากๆ เลยแบบนี้เวลาหนูคิดถึงพี่เฟิร์นหนูก็จะกอดตุ๊กตาตัวนี้”
“การไปเชียงใหม่ครั้งนี้มันอาจจะทำให้เราไม่ได้เจอกันแต่ยังไงเราก็ยังเป็นพี่น้องกันเวลาคิดถึงพี่ก็โทรหาพี่ได้ตลอดนะ พี่มีอะไรจะให้อริสอีกอย่างหนึ่ง แต่อริสสัญญานะว่าจะไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้”
“อะไรคะพี่เฟิร์น” หญิงสาวหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋าจำนวนห้าพันวางบนมือน้องสาว
“โอ้โห.....เยอะมากเลยนะพี่เฟิร์น แบบนี้หนูซื้อขนมกินได้ตั้งหลายปีแน่ๆ”
“มันไม่ได้เยอะมากมายหรอกนะ แต่พี่อยากให้อริสเก็บไว้ซ่อนไว้ดีๆ เอาไว้ซื้อของที่จำเป็น”
“ของที่จำเป็นคืออะไรคะหนูซื้อตุ๊กตาได้ไหม”
“หนูเอาไปซื้อตุ๊กตาได้แต่ไม่ใช่ซื้อทุกวัน ซื้อในโอกาสพิเศษเช่นหนูสอบได้ที่หนึ่งอยากให้รางวัลกับตัวเองหรืออาจจะเป็นช่วงปีใหม่ที่อยากได้ของสักชิ้นเข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะ แล้วของที่จำเป็นที่พี่เฟิร์นพูดมันคืออะไรคะ” อริสาถามอย่างไม่เข้าใจ ด้วยวัยเพียงสิบขวบอริสาจึงไม่เข้าใจในทุกเรื่องเหมือนผู้ใหญ่
“ก็เช่นคุณครูสั่งให้ซื้อสี สั่งให้ซื้อดินสอปากกาหรือสมุดที่ใช้เรียนของหนูหมดแล้วหนูไม่อยากขอเงินแม่หนูก็ใช้เงินตรงนี้ซื้อ แต่หนูต้องเก็บเงินตรงนี้ไว้ดีๆ นะอย่าให้แม่และพ่อรู้พวกเขาจะเอาเงินของหนูไปเข้าใจใช่ไหม”
“เข้าใจค่ะ ครั้งก่อนกระปุกออมสินที่หนูยอดไว้แม่ก็แคะเอาออกไปหมดเลย” เธอบอกด้วยความเสียดาย
“พี่ถึงบอกให้อริสเก็บไว้ดีๆ ไงล่ะหนูเห็นตุ๊กตาตัวนี้ไหมมันมีซิปเล็กๆ ซ่อนอยู่หนูเอาเงินใส่ไว้ตรงนี้ก็ได้นะ”
“จริงด้วยค่ะหนูจะซ่อนมันไว้ตรงนี้แล้วจะกอดมันนอนทุกคืนเลย พี่เฟิร์นคะแม่บอกว่าถ้าหนูขึ้น ป. 6 แม่จะซื้อโทรศัพท์ให้หนูด้วยค่ะ หนูจะได้โทรหาพี่บ่อยๆ ไม่ต้องยืมโทรศัพท์แม่” ที่ผ่านมาเวลาคิดถึงพี่สาวอริสามักจะแอบเอาโทรศัพท์ของมารดามาโทรหาพี่สาวแล้วก็จะถูกดุหนูเสมอ
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีเลยนะเราจะได้คุยกันบ่อยๆ เอาล่ะวันนี้พี่คงต้องไปก่อน อริสดูแลตัวเองนะพี่รักหนูนะ” ขวัญนภัสกอดน้องสาวแน่นพยายามจะไม่ร้องไห้เพราะกลัวว่าน้องจะร้องตาม
“หนูก็รักพี่เฟิร์นคะ หนูอยากให้พี่เฟิร์นไปกับพวกเราด้วย”
“พี่มีหน้าที่ต้องทำนะ อริสก็เหมือนกันหนูต้องเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนนะ”
“ค่ะพี่เฟิร์น” แล้วสองพี่น้องยืนกอดกันร้องไห้ อริสาไม่อยากจากพี่สาวไปเลยส่วนขวัญนภัสก็ไม่ให้น้องสาวย้ายไปอยู่ที่อื่นแต่ก็รู้ว่าไม่สามารถห้ามหรือทำอะไรได้เลย