อันเฟยตกใจจนตั้งตัวไม่อยู่ นางเผลอตะโกนถามเขาอย่างไม่พอใจ เรื่องนี้ควรต้องแจ้งนางล่วงหน้ามิใช่หรือเหตุใดเขาจึงบอกกะทันหันเช่นนี้กัน
“เหตุใดจึง….”
“ข้าตัดสินใจแล้ว เปลี่ยนแผนนิดหน่อย เสด็จพ่อประทานหนังสือหมั้นหมายมาแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่จวนนี้ ไปอยู่ที่จวนข้าได้แล้ว”
“แต่ว่า พิธีสมรสมิได้จะมีขึ้นในขั้นต่อไปงั้นหรือ เหตุใด….”
“ข้าบอกให้ไปก็ไป เจ้าตกลงแล้วว่าจะทำตามเงื่อนไข”
“หม่อมฉันไปตกลงเมื่อใดกัน”
“ป้ายหยก”
“ท่านอ๋อง!!”
นางโกรธจนถึงที่สุดเพราะไม่นึกว่าเขาจะมาเร่งนางเช่นนี้ ท่านอ๋องเองก็พึ่งตัดสินใจเมื่อครู่นี้เองที่นางตกลงมาสู่อ้อมกอดของฮั่วเทียนอี้ เขารู้สึกเจ็บที่หัวใจแปลก ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็น
เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจแต่ไม่มีเหตุผลอะไรเพราะที่เทียนอี้ทำไปก็เพราะช่วยนางเท่านั้น แต่เขาแอบเห็นสายตาของแม่ทัพหนุ่มซึ่งดูแล้วไม่น่าจะคิดกับว่าที่พระชายาของเขาเพียงน้องสาว
“ฝากปลาย่างไว้กับแมว ไม่ปลอดภัยแน่”
“อะไรนะเพคะ”
“ข้า…คือว่าวันนี้มีโองการออกมาแล้วให้อีกหนึ่งเดือนนับจากนี้จะเป็นพิธีแต่งงานแต่ก่อนหน้านี้ ข้า…จำเป็นต้องพาเจ้าไปพักอยู่ที่จวนก่อนเนื่องจากว่า…มีบางคนเริ่มสงสัย”
“สงสัยหรือเพคะ พระองค์หมายถึง…องค์รัชทายาท”
“ปึก!!”
“เจ้ารู้งั้นหรือ”
เขาวางจอกชาลง เดิมทีเขาไม่อยากเล่ารายละเอียดให้นางฟังเท่าใดนักแต่เมื่อมองจากเหตุการณ์เช่นนี้แล้วเขากลับดีใจที่นางเข้าใจโดยง่ายโดยที่เขาไม่ต้องอธิบายให้นางฟังซ้ำ ๆ เพราะนางคงจะได้ฟังจากคนในจวนแม่ทัพทั้งหมดแล้ว
“ก็มิได้รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ แค่รู้ว่าพวกพระองค์….ไม่ค่อยลงรอยกันเท่านั้น”
“เขาเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ของเรา และคิดว่าข้า…แค่หาตัวหลอกเพื่อไม่ให้เขาหาทางส่งคนเข้ามาในจวนของข้า”
“หม่อมฉันพอเข้าใจแล้วเพคะ ตรัสเช่นนี้แต่แรกก็เข้าใจแล้วเหตุใดต้องดุด้วยก็ไม่รู้”
“อีกเรื่องหนึ่ง”
“เพคะ เรื่องใดหรือเพคะ”
“เจ้าเป็น…พระชายาของข้าดังนั้น…ท่าทีกับบุรุษอื่น เจ้าควรเว้นระยะห่าง อย่ายุ่งเกี่ยวอีก”
“แต่หม่อมฉันแทบจะไม่รู้จักบุรุษอื่น….อ๋อ หากหมายถึงพี่ใหญ่แล้วล่ะก็ นั่นเขา…”
“เขาไม่ใช่แม้แต่พี่ชายเจ้าด้วยซ้ำไป อย่าได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัว เจ้าลืมแล้วงั้นหรือว่าเจ้ามิได้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเขา”
“หม่อมฉัน….ลืมเพคะ ก็หม่อมฉันมิได้คิดอะไรกับพี่ใหญ่นี่เพคะ”
ท่านอ๋องหยิบชาขึ้นมาจิบเพื่อปิดบังรอยยิ้มที่พอใจของตน เหตุใดเขาต้องดีใจด้วยที่นางบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับเทียนอี้เพราะคิดว่าเขาเป็นพี่ชายของนาง
“เช่นนั้นก็ดี ข้าไม่อยากให้….มีเรื่องเกินเลย อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายทางที่ดีเจ้า…อยู่ให้ห่างเขาหน่อยจะดีกว่า”
“แต่ว่าท่านอ๋องเพคะ พระองค์ก็เป็นบุรุษนี่เพคะ”
“แต่ข้าเป็นสามีของเจ้า!!….”
อันเฟยถึงกับรีบหันไปหยิบชาที่นางรินเอาไว้ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดทันทีพร้อมกับรินอีกแก้วอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกว่าใบหน้านางร้อนผ่าวและมือไม้สั่นเมื่อเขาพูดคำนี้ออกมา ท่านอ๋องเองก็พึ่งจะรู้สึกตัวและหันไปจิบชาอีกเช่นกัน
“คือ…ข้าหมายความว่า….คนทั่วไป หมายถึงผู้อื่นที่มองเข้ามา มองว่าพวกเรา…เป็นสามีภรรยาดังนั้นเจ้ากับข้า…ก็ต้อง....”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ ไม่ต้องตรัสแล้วเข้าใจแล้วเพคะ”
“ข้า….ก็ตามนั้น พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมารับเจ้า”
“พระองค์แจ้งท่านพ่อแล้วงั้นหรือเพคะ”
“ข้าจะไปแจ้งกับอาจารย์เอง ข้ามิได้โหดร้ายถึงเพียงนั้น เจ้ายังไปมาหาสู่กับจวนแม่ทัพได้ตลอดเพียงแค่ย้ายที่อยู่เท่านั้นกันผู้คนจะสงสัย”
“แต่หม่อมฉันยังมิได้สมรสเสียหน่อยเหตุใดจึงเร่งให้ไปพักที่จวนนั่นด้วยเพคะ”
“ที่จวนนั้นเป็นเพียงจวนชั่วคราว หากต้องอภิเษกจริง ๆ ต้อง….เข้าไปอยู่ตำหนักในวังหลวง”
“วังหลวง!!”
“ใช่ วังหลวง”
“ตายแน่ ๆ หากเข้าไปในวังหลวงเช่นนี้จะออกมาได้เช่นไรกัน”
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนั้นข้าคิดเอาไว้แล้ว พวกเราไปเพียงทำพิธีส่งตัวเท่านั้น หลังจากนั้นข้าก็จะออกมาพักอยู่ที่จวนด้านนอกเช่นเดิม”
“เฮ้อ โล่งอกไปที”
“แต่อย่างไรก็ต้องอยู่ในวังอย่างน้อยเจ็ดถึงสิบวันก่อนที่จะย้ายออกมา”
“ก็ยังดีกว่าอยู่ตลอดหกเดือน แค่นั้นไม่เป็นอะไรหรอก”
“อีกอย่างข้าก็อยากให้เจ้า…ไปรู้จักกับ..พวก….สนมในจวนนั่น”
“อ้อ สนมของพระองค์หรือเพคะ”
“ข้าไม่เคยยอมรับพวกนางเสียหน่อย”
“แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้นี่เพคะ ถึงอย่างไรพวกนางก็ถูกประทานมาให้พระองค์”
“น่ารำคาญเอาเป็นว่าเจ้าเตรียมตัวเก็บของได้แล้ว ชุดเสื้อผ้าข้าจะจัดคนมาวัดตัวตัดให้เจ้าใหม่ทั้งหมด เรื่องของใช้ส่วนตัวเอาไปแค่พอจำเป็น จากนี้เรื่องของเจ้าจวนอ๋องของข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด”
“เช่นนั้นพระองค์ต้องจ่าย….”
“มีแน่นอนเจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก”
“เช่นนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อยเพคะ”
“อย่าลืมเรื่องที่ข้ากำชับเอาไว้ เรื่อง….”
“หม่อมฉันจะเก็บของให้เร็วที่สุดเพคะ”
“ไม่ใช่ เรื่อง…”
“อ้อ เพคะ หม่อมฉันจะไม่ทำเรื่องเดือดร้อนให้พระองค์จะบอกลาพี่ ๆ ให้ดีและจะแวะมาหาพวกเขาบ่อย ๆ เพคะ”
“นี่เจ้า….ช่างเถอะข้ากลับล่ะ”
“เอ่อ หม่อมฉันจะไปส่งเพคะ”
“ไม่ต้องก็ได้ เจ้ารีบไปเก็บของเถอะ”
“เช่นนั้นก็ได้เพคะ พี่ใหญ่....เหตุใดมาที่นี่เจ้าคะ”
“อันเฟย คือว่าข้าพึ่งจะทราบเรื่อง….พรุ่งนี้ข้าจะไปส่งเจ้าที่จวนท่านอ๋อง”
“ไม่ต้องหรอกเทียนอี้ ข้าจะมารับนางเองน่ะ ไม่รบกวนเจ้าดีกว่า อันเฟยตามมาสิ”
“เพคะ?? เมื่อครู่…”
“เจ้าบอกว่าจะไปส่งข้านี่ ตามมาสิ”
“เอ่อ…”
สายตาของท่านอ๋องที่จ้องกลับมาราวกับบังคับนางทำเอาผู้ที่มองอยู่รู้ได้ในทันทีว่าเรื่องนี้คงไม่ธรรมดาอย่างที่บิดาของเขาบอกเสียแล้ว
ยังไม่ทันที่อันเฟยจะก้าวออกจากจวนแม่ทัพ ท่านอ๋องก็ออกอาการหึงหวงนางเช่นนี้ ดูท่าแล้วต้องใช้เวลาอีกสักพักเพราะอันเฟยเองก็ดูแปลกใจเล็กน้อยราวกับไม่ได้รู้เรื่องว่าท่านอ๋องรู้สึกอย่างไร
“พี่ใหญ่เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ท่านอ๋อง….อย่าดึงสิเพคะ”
“ข้ามีธุระอื่นอีกมากอย่ามัวแต่คุยอยู่ตรงนี้ รีบตามมา”
“เดี๋ยวสิเพคะ พี่ใหญ่เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะ”
ท่านอ๋องดึงแขนนางให้เดินไปส่งเขาที่หน้าจวน ฮั่วเทียนอี้ที่ยืนมองอยู่รู้สึกไม่ชอบใจนิดหน่อยแต่เขาเป็นท่านอ๋องและยังเป็นแม่ทัพพยัคฆ์บูรพาและกองทัพกิเลนอัคคีที่เขาสังกัดอยู่ เขาจึงต้องเกรงพระทัยบ้าง
“เจ็บ ๆ ปล่อยก่อนเถิดเพคะหม่อมฉันเจ็บไปหมดแล้ว”
ท่านอ๋องเผลอตัวและรีบปล่อยนางในทันที เขาหันมามองนาง แม้แต่ในตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยเปลี่ยนสีหน้าจนอันเฟยเริ่มนึกแปลกใจมาก
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันใคร่ถามว่าพระองค์จะดึงหม่อมฉันทำไมเพคะ”
“ข้าพึ่งบอกเจ้าไปเรื่องการเว้นระยะห่างกับบุรุษอื่นในฐานะพระชายา แต่นี่เจ้า…”
“หากว่าจะมีผู้ที่จะทำให้น่าสงสัยก็ตัวพระองค์เองนั่นแหละเพคะ”
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้ามิใช่น้องสาวแท้ ๆ ของหลินอี้ เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องสนิทสนมกับเขาถึงเพียงนี้”
“แต่คนอื่น ๆ เขาคิดว่าหม่อมฉันกับพี่ใหญ่คือพี่น้องแท้ ๆ นะเพคะ พระองค์อย่าลืมเรื่องนี้สิเพคะ”
“แต่น้องสาวคนอื่น ๆ ของเขาไม่เห็นทำเช่นเจ้าเลยสักคน!!”