นางหู่เหมยเมื่อมีของสดหลากหลายนางก็ทำอาหารออกมาได้หลายอย่าง หรันเยี่ยยังกลัวว่านางจะไม่กล้าทำออกมาให้ทุกคนกินเต็มที่ นางเดินเข้าไปในครัวบอกกล่าวมารดาว่าของมีมากมาย สามารถทำอาหารให้ทุกคนกินเต็มที่ได้เลย
นางหู่เหมยจึงยอมเพิ่มอาหารอีกสองอย่าง จากที่ลงมือทำเพียงแค่สองอย่างเท่านั้น ข้าวสวยที่หุงสุก มื้อเช้าของวันนี้ช่างหอมกรุ่นชวนให้น้ำลายไหลยิ่งนัก
ไม่เหมือนกับข้าวต้มที่มีเมล็ดข้าวนับเมล็ดได้ที่เรือนตระกูลจาง ทั้งสี่คนกินอย่างเอร็ดอร่อยจนหรันเยี่ยที่นำของออกมาให้ มองดูพวกเขาอย่างมีความสุข
“เจ้าก็กินให้มากเสียหน่อย” นางหู่เหมยเห็นบุตรสาวไม่ยอมกินข้าวเช่นคนอื่นจึงได้เอ่ยเตือนนาง
“ข้ารองท้องมาเล็กน้อยแล้วเจ้าค่ะ พวกท่านกินเยอะๆ นะเจ้าคะ” หรันเยี่ยช่วยคีบอาหารให้คนทั้งสี่แทน
มื้อนี้นับว่าเป็นมื้อแรกที่พวกเขาได้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ โดยไม่ต้องสนสายตาและเสียงก่นด่าของนางถิงซื่อ ยามที่ตักอาหารใส่ชามของตน
ฝาแฝดกับจางซ่ง เติมข้าวเสียคนละสามชามเห็นจะได้ อาหารที่อยู่บนโต๊ะถูกกวาดลงท้องของทั้งสี่คนจนแทบไม่เหลือร่องรอยว่าเคยมีอาหารอยู่บนโต๊ะมาก่อน
“อร่อยมาก พี่ใหญ่ ต่อไปข้าจะมีเนื้อกินทุกวันแล้วใช่ไหมขอรับ” ลู่เฉิงเอ่ยถามออกมา
เสียงใสๆ ของเขาทำให้ใจของหรันเยี่ยอ่อนยวบ นางพยักรับทันที “ใช่แล้ว พี่จะนำมาให้หรงเออร์และเฉิงเออร์กินทุกวัน จะขุนให้พวกเจ้าอ้วนเป็นหมูเลย”
“ข้าจะกินน้อยๆ ข้าไม่อยากเป็นหมูขอรับ” คำพูดของลู่เฉิงเรียกเสียงหัวเราะของทุกคนได้อย่างดี เสียงหัวเราะที่ขาดหายไปนานได้เกิดขึ้นอีกครั้งภายในเรือนหลังเล็กที่แสนจะอบอุ่น
ปกติชาวบ้านทั่วไปในหมู่บ้านจะกินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้นคือมื้อเช้าและมื้อเย็น หากต้องทำนาก็จะเพิ่มมื้อกลางวันเข้าไปอีกหนึ่งมื้อสำหรับบุรุษในเรือน
แต่ในวันนี้เรือนของจางซ่งได้กินมื้อกลางวันกันด้วย ทั้งห้ากำลังนั่งกินอาหารกลางวันกันอยู่ เสียงร้องเรียกจางซ่งที่อยู่หน้าเรือนก็ดังขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านรีบพันผ้าที่ขาเร็วเข้า หรงเออร์ เฉิงเออร์กินอาหารเข้าไปให้หมดเร็วเข้า” หรันเยี่ยช่วยน้องชายยัดอาหารเข้าไปในปาก ก่อนจะเร่งเก็บจานชามเข้าไปไว้ในครัว
นางหู่เหมยจัดเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วก็เดินออกไปหน้าเรือน เพื่อดูว่าเป็นผู้ใดที่มาหาพวกเขาในยามนี้
“มาแล้ว มาแล้วเจ้าค่ะ” หู่เหมยเปิดประตูออกไปก็พบว่าเป็นผู้นำหมู่บ้านหมานที่มาหาพวกเขา
“ท่านลุงหมาน เชิญด้านในก่อนเจ้าค่ะ”
“อาซ่งเป็นเช่นใดบ้าง ข้านำทะเบียนแซ่มามอบให้”
“ดีขึ้นเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
พอเข้าไปถึงด้านในห้องโถงก็พบจางซ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องโถง โดยมีบุตรชายทั้งสองนั่งอยู่กับเขา ส่วนหรันเยี่ย นางกำลังไปหาจ้ำมาเตรียมไว้ให้แขกที่มาที่เรือน
“องซ่ง ใบหน้าของเจ้าดีขึ้นไม่น้อย อีกไม่นานก็คงจะเดินได้แล้ว” จางซ่งยกมือขึ้นลูบใบหน้าอย่างเก้อเขิน เมื่อได้ยินคำพูดของผู้นำหมู่บ้าน
เมื่อวานเขายังมีสภาพราวกับคนใกล้ตาย เพียงแค่วันเดียวใบหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นไม่น้อย
“ขอรับท่านลุง ข้าก็หวังว่าจะหายในเร็ววันจะได้หาทำงานเลี้ยงดูลูกเมีย”
“ดีดี หลุดพ้นจากตระกูลจางมาได้ ต่อไปสวรรค์ต้องเข้าข้างพวกเจ้าบ้างแล้ว” เขามองจางซ่งอย่างเห็นใจ ก่อนจะยื่นหนังสือทะเบียนแซ่ที่ไปขึ้นมาให้เขาแล้ว เมื่อเช้านี้
“ขอบคุณท่านลุงมากขอรับ” จางซ่งเอื้อมมือที่สั่นเทาไปรับหนังสือเปลี่ยนแซ่มาไว้ในมือ
“ต่อไปนี้ พวกเจ้าก็คนแซ่จ้าว มิใช่แซ่จางอีกแล้ว เสร็จเรื่องของข้าแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน ไม่ ไม่ต้องลุกไปส่ง เจ้านั่งให้มันดีๆ ประเดี๋ยวจะล้มจนบาดเจ็บไปอีก” เมื่อเห็นจางซ่งทำท่าจะลุกขึ้น ผู้นำหมู่บ้านหมานก็กดตัวเขาลงนั่งเช่นเดิม
จ้าวซ่ง ที่ลืมตัวกำลังจะลุกออกไปส่งผู้นำหมู่บ้านก็ต้องตัวแข็งทื่อทันที เมื่อรู้สึกตัว
“อาเหมย เจ้าไปส่งท่านลุงหมานแทนข้าที”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่” นางรีบลุกออกเดินนำผู้นำหมู่บ้านไปส่งที่ด้านหน้าเรือนทันที
“เกือบไปแล้วไหมเล่าท่านพ่อ ทีหลังท่านต้องระวังให้มากกว่านี้” หรันเยี่ยถอนหายใจออกมา
ตอนนี้จ้าวซ่งทำท่าจะลุกขึ้นยืน ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างตกใจ ฝาแฝดทั้งสองยังต้องเอามือปิดปากไว้ เพราะกลัวว่าจะร้องห้ามออกมา
“เห้อ เข้าใจแล้ว” จ้าวซ่งกุมขมับมันยากไม่น้อยที่เขาเดินได้แล้ว แต่ต้องแกล้งเป็นเดินไม่ได้
หรันเยี่ยที่ไม่รู้จะทำอันใด นางก็เดินไปสำรวจรอบๆ เรือน ก็พบว่าพื้นที่ด้านข้างเหลือว่างอยู่ไม่น้อย ฝาแฝดก็เดินตามพี่สาวอย่างน่าเอ็นดู
“หรงเออร์ เฉิงเออร์ เจ้าว่าพวกเราปลูกผักกันดีหรือไม่” นางกอดอกมองพื้นที่รอบเรือนอย่างครุ่นคิด หากจะปลูกก็ต้องไปหาเมล็ดผัก ไม่รู้ว่าเสี่ยวไป๋จะให้เมล็ดผักนางออกมาปลูกด้านนอกหรือไม่
“ดีขอรับ” ลู่เฉิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“พี่ใหญ่ว่าดี ข้าก็ว่าดี” ลู่เฉิงเอ่ยออกมา
ทั้งสามพี่น้อง เดินไปหามารดา เพื่อถามหาเครื่องมือที่จะนำมาขุดดิน นางหู่เหมยก็เดินเข้าไปค้นในห้องเก็บของ ได้จอบเก่าๆ มาสองด้าน พร้อมกับเสียมที่เอาไว้ขุดดิน ส่งให้สามพี่น้องเอาไปใช้ได้ตามใจ
“เห้อ...เห้อ เหนื่อย เหนื่อยมาก” หรันเยี่ยทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นดิน นางคิดไม่ถึงว่าตอนที่นางขุดแปลงเพียงผู้เดียวในมิติจะเหนื่อยน้อยกว่าตอนนี้อีก
“พี่ใหญ่ ท่านพักก่อนเถิดขอรับ” ลู่หรงมองที่พี่สาวอย่างเป็นห่วง และมองไปที่แปลงดินที่เพิ่งจะถูกขุดไปไม่ถึงหนึ่งจั้งเลย
“ได้ ได้ พวกเจ้าประเดี๋ยวค่อยทำก็ได้ ข้าไม่ไหวแล้ว” นางหอบหายใจไม่ทัน โบกมือเรียกให้น้อง ๆ หยุดพักเช่นเดียวกับนาง
แต่ทั้งสองก็ยังคงขุดต่อไปมิได้หยุดพัก งานเพียงเท่านี้ ฝาแฝดทั้งสองคิดว่าไม่ได้หนักหนาอันใด จ้าวซ่งที่ได้ยินเสียงบุตรส่งเสียงอยู่ที่นอกเรือน ก็เดินออกมาดูอย่างสนใจ
“มาพ่อช่วย” เขาเดินเข้าไปจับจอบมาขุดดินอย่างรวดเร็ว เมื่อมีบิดามาช่วยเหลืองานก็เสร็จไว้ขึ้น
“แล้วเจ้าจะปลูกอันใด” จ้าวซ่งหันมาเอ่ยถามหรันเยี่ย ด้วยนางเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะปลูกผัก
“เอ่อ...” นางยังไม่รู้ว่าจะปลูกสิ่งใด
แต่แล้วถุงเมล็ดผักที่นางเห็นในมิติ ก็ตกลงมาอยู่ตรงหน้าของคนทั้งสี่ จ้าวซ่งและฝาแฝดทั้งสองที่ยังไม่ชินก็กระโดดถอยหลังไปเสียหลายก้าวด้วยความตกใจ
หรันเยี่ยร้องอย่างดีใจ นางวิ่งเข้าไปหยิบถุงผักทั้งสามถุงมาดู ก็พบว่าเป็นผักกาดขาวสองถุงและแครอทหนึ่งถุง
“เสี่ยวไป๋ เจ้าดีที่สุดเลย” นางสื่อสารบอกเสี่ยวไป๋ที่อยู่ในมิติ
“หึ” มันไม่ได้ใจดีหรอก เพียงทนมองไม่ได้ก็เท่านั้น
“นี่ คืออันใด” จ้าวซ่งเดินเข้ามาดูของที่อยู่ในมือของหรันเยี่ย
ถุงหน้าตาประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาจากที่ใดมาก่อน (ถุงพลาสติก) พอเปิดออกดู ด้านในมีเมล็ดผักอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
“ผักกาดขาวกับแครอทเจ้าค่ะ” ทั้งสามมองหน้าหรันเยี่ยอย่างมึนงง
“เอ่อ...”
“ไป๋ช่าย (ผักกาดขาว หงหลัวปู่ (แครอท)” เสี่ยวไป๋ร้องบอกนาง
“อ้อ ไป๋ช่ายกับหงหลัวปู่เจ้าค่ะ” หรันเยี่ยนางจึงร้องบอกทุกคน พอได้ยินเช่นนั้นต่างก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
จ้าวซ่งเมื่อรู้ว่าคือผักชนิดใด ตัวเขาจึงเดินไปหว่านเมล็ดผักลงแปลงที่ปลูกไว้ทันที