เขาเป็นสหายของจางฉง ก่อนที่จางฉงจะตายได้ฝากจางซ่งไว้ให้เขาช่วยดูแลต่อ คำพูดของตาเฒ่าฉงในครั้งนั้นเขาก็ยังนึกสงสัยไม่น้อย
“อาหมาน หากข้าตายไปแล้วเจ้าอย่าได้ทิ้งอาซ่งเด็ดขาด เด็กผู้นี้ต่อไปภายหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดอันใดขึ้น แต่เจ้าต้องดูแลเขาให้ดีแทนข้าด้วย” พอนางถิงซื่อเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงได้ถามย้ำกับนาง
“ไม่ ไม่ใช่ เขาเป็นบุตรที่ข้าคลอดมาเอง” ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างหวาดกลัว กลัวว่าคำที่สตรีผู้นั้นเอ่ยขู่ไว้จะเป็นเรื่องจริง
“ได้ หากเจ้าไม่ยอมรับ ข้าจะไปแจ้งทางการให้เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้"
“อย่า!!! มิได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นตระกูลข้าต้องตายทุกคน” นางถิงซื่อกรีดร้องออกมาอย่างเสียสติ
นางจะยอมให้เรื่องของจางซ่งทำให้นางและบุตรทั้งสองต้องพบกับหายนะไปด้วยมิได้
“เช่นนั้นก็พูดออกมา!!!” ผู้นำหมู่บ้านหมานร้องตวาดเสียงดัง
“เขา เขามิใช่บุตรของข้า เป็นเด็กที่ตาเฒ่าอุ้มกลับมาที่เรือน ข้ามิรู้เรื่องราวของเขา เรื่องนี้ข้าสาบานได้” นางยกมือขึ้นสาบานกับฟ้าดิน นางไม่รู้เรื่องภูมิหลังของจางซ่งจริงๆ
ชาวบ้านทั้งหมดที่อยู่ที่เรือนตระกูลจางอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ จางซ่งที่นอนอยู่ที่แคร่กลางลานเรือน น้ำตาของเขาไหลออกมาจากดวงตาคู่หม่นอย่างปวดใจ
แม้จะไม่เข้าใจว่าที่ผ่านมาเหตุใดมารดาถึงได้รังเกียจเขามากนัก แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเด็กที่ถูกอุ้มกลับมาที่เรือน มิใช่บุตรของนาง
สายตาทุกคู่ ยามนี้หันมามองที่จางซ่งเป็นตาเดียว ทั้งเห็นใจและสงสัยว่าจางซ่งเป็นบุตรของผู้ใดกันแน่
“อาซ่ง เจ้าจะทำเช่นไร” ผู้นำหมู่บ้านเดินเข้ามาถามเขา
“ไม่ต้องถามมันแล้ว เรือนข้าไม่ต้องการเลี้ยงดูคนพิการทั้งสองคนเช่นนี้” นางถิงซื่อเอ่ยออกมาเสียก่อน
“ท่านแม่ ท่านว่าผู้ใดพิการเช่นนั้นรึ” นางหู่เหมยเดินเข้าไปหานางถิงซื่อ เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
เพราะตอนนี้มีเพียงสามีของนางที่บาดเจ็บหนัก แต่ตัวเขาก็ไม่ถึงขั้นกับเป็นผู้พิการแต่อย่างใด แล้วจะกล่าวหาเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า
“ท่านแม่ พี่สาว พี่สาวขอรับ” จางลู่เฉิงเดินเข้าไปดึงชายเสื้อของมารดาเอ่ยเสียงสั่นออกมา
“เยี่ยเออร์ นางเป็นอันใด” นางหู่เหมยเอ่ยถามบุตรชายอย่างร้อนรน
“พี่สาวตกเขาขอรับ ยามนี้นางยังมิได้สติ” ลู่หรงเอ่ยบอกมารดา เขาเป็นผู้ที่คุมอารมณ์ได้ดีกว่าแฝดน้อง ที่ยามนี้ยังคงตื่นกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“เยี่ยเออร์...” นางหู่เหมยวิ่งเข้าไปในเรือนเพื่อดูบุตรสาวที่นอนอยู่ภายในห้อง
เนื้อตัวของหรันเยี่ยที่ยังไม่ได้ถูกทำความสะอาดยิ่งทำให้นางดูน่าสงสารมากกว่าเดิม จางซ่งกัดฟันแน่นฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวคนโตจากปากของลู่หรงที่เล่าให้ผู้เป็นบิดาฟัง
“ท่านลุงหมาน ทำเรื่องตัดขาดให้ข้าเถิดขอรับ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนางถิงซื่อ” เขาไม่คิดว่าเกิดเรื่องกับบุตรสาวของตนเช่นนี้แล้ว นางถิงซื่อยังไม่ยอมตามหามารักษา ทั้งยังคิดจะขับไล่สามพี่น้องออกจากเรือนในตอนที่พวกเขาไม่อยู่อีกด้วย
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า” ผู้นำหมู่บ้านเอ่ยบอกจางซ่ง ก่อนที่จะให้หลานชายกลับไปนำกระดาษพู่กันที่เรือนมาให้ตน
"แต่ข้าไม่ยกอะไรให้เด็ดขาด” นางไม่มีทางแบ่งที่ดินทำกินหรือเงินให้พวกเขาติดตัวไปด้วย
“หึ ท่านไม่ต้องห่วงสิ่งของของท่านข้าไม่มีวันนำติดตัวไปด้วย” จางซ่งก็ไม่คิดอยากได้สิ่งของของนางถิงซื่อไปแม้แต่ชิ้นเดียว
แต่ทั้งนางถิงซื่อและจางซ่งไม่รู้ว่าจางฉงจัดการเรื่องนี้ไว้กับผู้นำหมู่บ้านหมานเรียบร้อยแล้ว เพราะเขารู้ดีว่าภรรยาของเขามิชอบจางซ่งนัก
จึงได้นำเงินบางส่วนที่ได้มาจากสตรีที่พาตัวจางซ่งมาไปฝากไว้ที่ผู้นำหมู่บ้าน เพื่อให้เขาเก็บไว้ให้จางซ่ง และยังมีหยกพกที่สตรีนางนั้นยัดใส่มือของเขาไว้ด้วยก็ถูกเก็บไว้ที่ผู้นำหมู่บ้านหมานก่อนหน้าที่เขาจะตายเพียงไม่กี่วัน
“นางถิงซื่อ ต่อแต่นี้อาซ่งมิใช่บุตรของเจ้าและไม่ใช่คนตระกูลจาง ต่อไปเจ้ามิอาจเรียกร้องสิ่งใดต่อเขาได้ และเขาไม่จำเป็นต้องกตัญญูต่อเจ้า” ผู้นำหมู่บ้านยื่นหนังสือตัดขาดให้นางถิงซื่อหนึ่งฉบับและให้จางซ่งหนึ่งฉบับ ตัวเขาเก็บไว้เองหนึ่งฉบับ
จางหั่วที่กลับมาที่เรือนพอดี ก็นำหนังสือตัดขาดจากนางถิงซื่อมาอ่าน เขาพยักหน้าให้มารดาเก็บรักษาไว้ให้ดี ก่อนจะมองผู้ที่คิดว่าเป็นพี่ชายมาตลอดหลายปีอย่างสับสน
แม้ตัวเขาและจางซ่งจะมิได้สนิทสนมเช่นที่ควรจะเป็น แต่ก็มิได้รังเกียจหรือเข้าร่วมดูแคลนทุกครั้งที่มารดาและน้องสาวกระทำ อาจจะเป็นเพราะบิดาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่สั่งสอนเขามาให้เคารพจางซ่งในฐานะพี่ชายคนโต
ผิดกับจางสุ่ยน้องสาวคนเล็กที่เชื่อฟังมารดา ร่วมรังแกครอบครัวของจางซ่งไว้ไม่น้อย ยามนี้นางยังไม่คิดจะออกมาจากเรือนเพื่อดูเหตุการณ์ที่ลานเรือนของตนเอง ได้แต่แอบมองอยู่ที่หน้าต่างห้องนอนของนางเท่านั้น
หรันเยี่ยที่รู้สึกตัวตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องแล้ว แต่นางยังมิอาจลืมตาหรือลุกขึ้นมานั่งได้ ได้แต่ประมวลเรื่องราวทั้งหมดอยู่บนที่นอน ความทรงจำของหรันเยี่ยเจ้าของร่างเดิมไหลวนอยู่ภายในหัวของนาง
ทำให้ได้รู้ว่าครอบครัวใหม่ที่นางได้มาอยู่ในภพนี้ช่างแตกต่างจากครอบครัวเดิมของนางโดยสิ้นเชิง ไหนจะเรื่องฐานะความเป็นอยู่ และเรื่องความบาดหมางที่เกิดขึ้นภายในตระกูล
ตอนนี้นางปวดหัวไม่น้อยกับเสียงร้องไห้ของนางหู่เหมยผู้เป็นมารดาของเจ้าของร่างเดิม ที่ร้องไห้เสียจนแทบจะขาดในอยู่ข้างเตียงของนาง ทั้งยังพร่ำบอกเรื่องที่ทิ้งพวกนางสามคนพี่น้องไว้ที่เรือนจนต้องมีชะตากรรมเช่นนี้
“เยี่ยเออร์ เจ้าฟื้นขึ้นมามองแม่เสียหน่อยเถิด” นางหู่เหมยอ้อนวอนกับร่างของเด็กสาวที่นอนนิ่งอยู่บนที่นอน
นางจับมือของหรันเยี่ยขึ้นมาแนบไว้ที่แก้มที่มีแต่น้ำตาของนางอย่างปวดใจ ทั้งยังอ้อนวอนต่อฟ้าดินไม่หยุดหย่อน
แต่ก่อนที่หรันเยี่ยนางจะพยายามขยับนิ้วมือ เพื่อให้นางหู่เหมยรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ท่านผู้นำหมู่บ้านก็พาบุรุษเข้ามาภายในห้องของหรันเยี่ย เพื่อหามนางออกไปที่เรือนหลังใหม่ หู่เหมยจำต้องปล่อยมือของบุตรสาวให้วางลงไว้ข้างตัวเช่นเดิม
หรันเยี่ยรับรู้ทุกอย่างแม้แต่ตอนที่นางถูกแบกออกจากห้องไป เสียงก่นด่าของนางถิงซื่อที่ไล่หลังมา นางยังได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน
“มีคนแบบนี้ด้วย” หรันเยี่ยนางจะเคยพบเจอคนเช่นนี้ได้อย่างไร
ตั้งแต่เล็กจนโตนางถูกห้อมล้อมไปด้วยความรัก ผู้คนที่เอาอกเอาใจนาง ทั้งยังคำพูดที่หวานหู คำด่าที่นางถิงซื่อด่าออกมา นางก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก