หรันเยี่ยจำต้องกลับไปที่ห้องของนาง พร้อมกับทุกคน นางนั่งลงที่เตียงพร้อมทั้งหยิบยาที่อยู่ข้างเตียงมาเทใส่มือ
ทุกคนจ้องมองมาที่นางอย่างเป็นห่วง แต่ก็ต้องการให้นางหาย พวกเขาจึงยิ้มเป็นกำลังใจให้หรันเยี่ยรีบกินยาลงไป
หรันเยี่ยกลืนยาลงไปอย่างรวดเร็ว นางนั่งรออาการที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ก็มีเพียงความเย็นกระแสหนึ่งที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น เพียงครู่เดียวบาดแผลทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนตัวของนาง ก็จางหายไปช้าๆ แผลขนาดใหญ่ที่ศีรษะก็หายไปแล้วเช่นกัน
“หายแล้วรึ” หู่เหมยเดินเข้ามาสำรวจเนื้อตัวของหรันเยี่ย เมื่อเห็นว่านางมิได้ร้องคร่ำครวญเช่นเดียวกับสามี
“เจ้าค่ะ ข้าดีขึ้นมากแล้ว” ยามนี้หรันเยี่ยไม่มีอาการเจ็บปวดตามเนื้อตัวอีกแล้ว นางเหมือนจะแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมอยู่ไม่น้อย
“สวรรค์ ดีแล้ว ดีแล้ว ที่เจ้าไม่ต้องเจ็บปวดเช่นท่านพ่อเจ้า” นางหู่เหมยตบที่หน้าอกของตนเองอย่างโล่งใจ
“เช่นนั้น เจ้าก็พักผ่อนต่อเสียอีกหน่อย แม่จะไปทำอาหารเย็น เสร็จแล้วจะมาเรียกเจ้า” หู่เหมยเห็นว่าหรันเยี่ยนางไม่เป็นอันใด ก็เดินออกจากห้องไปเข้าครัว
แต่ก่อนที่จางซ่งจะเดินออกไป หรันเยี่ยก็เอ่ยรั้งเขาเอาไว้ก่อน “เอ่อ...ท่านพ่อ ทางที่ดีท่านควรจะพันขาไว้เช่นเดิม หากมีคนมาที่เรือน พวกเขาจะได้ไม่สงสัยมากนัก”
หากอาการบาดเจ็บของสองพ่อลูกจะหายไปได้ภายในวันเดียวก็ดูจะน่าสงสัยมากเกินไป จางซ่งก็เห็นด้วยกับคำพูดของหรันเยี่ย พอออกมาจากห้องของนาง เขาก็กลับมาพันผ้าที่ขาไว้เช่นเดิม
สองฝาแฝดไม่ได้ตามบิดามารดาออกไปด้านนอกด้วย ต่างจ้องมองมาที่หรันเยี่ย กลัวว่านางจะหายเข้าไปในมิติ โดยที่พวกเขาไม่รู้เรื่อง
“มีอันใด” นางเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ที่เห็นทั้งสองยังนั่งนิ่งที่เตียงของนาง
“ท่านพี่ จะเข้าไปในมิติอีกหรือไม่” ลู่เฉิงเอ่ยถามออกมาอย่างรวดเร็ว
“ย่อมต้องเข้า เพียงแต่ยังมิใช่ตอนนี้”
“ข้าอยากเข้าไปด้วย” ลู่เฉิงมองนางอย่างคาดหวัง
“เอ่อ...” เรื่องนี้หรันเยี่ยนางก็ไม่อาจช่วยพวกเขาได้ ได้แต่ร้องถามเสี่ยวไป๋ที่อยู่ภายในมิติ “เสี่ยวไป๋ พวกเขาเข้าไปกับข้าด้วยได้หรือไม่”
“ยังไม่ได้ ท่านต้องผ่านด้านที่ห้าไปเสียก่อน”
“เอ่อ...ใกล้แล้ว อีกไม่นานพี่จะพาพวกเจ้าเข้าไปด้านในด้วย”
“ท่านอย่าได้หลอกข้าเล่า” ลู่เฉิงมองจ้องหรันเยี่ยอย่างจับผิด
“ไม่หลอกพวกเจ้าแน่ ไว้ข้าจะบอกพวกเจ้าทันที หากเข้าไปด้านในได้ ดีหรือไม่”
“ขอรับ/ขอรับ” ทั้งสองรับคำก่อนจะพากันออกไปด้านนอก เพื่อช่วยมารดาทำอาหาร
“ช่างวุ่นวายเสียจริง” เสี่ยวไป๋บ่นออกมาเบาๆ
หรันเยี่ยนางไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเสี่ยวไป๋ อาจจะเพราะว่านางไม่เคยมีน้องมาก่อน พอมีพวกเขาเป็นน้องชาย นางถึงได้รู้สึกเอ็นดู อยากจะตามใจพวกเขาเช่นที่นางเคยถูกพี่น้องเอาใจมาตลอด
พอคิดถึงครอบครัวของตนเองที่ภพก่อน หรันเยี่ยใบหน้าก็หมองลง ความเศร้าใจที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัวมาอยู่ที่ห่างไกลเช่นนี้ทำให้นางอยากจะร้องไห้ออกมา ความรู้สึกของหรันเยี่ย เสี่ยวไป๋ย่อมรับรู้ได้
“หากเจ้ากังวลเรื่องครอบครัวในภพก่อน เรื่องนี้ตัดออกไปได้เลย ความทรงจำของพวกเขาในเรื่องของเจ้าต่างก็เลือนหายไปแล้วเช่นกัน”
“เช่นนั้นรึ” นางนั่งกอดเขาอย่างปวดใจ นับยี่สิบกว่าปีที่นางถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรัก มันไม่สามารถลบออกไปได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของเสี่ยวไป๋
หรันเยี่ยล้มตัวลงนอนพร้อมกับเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นภายในหัวของนาง จนนางหลับไปตอนใดก็ไม่ทราบได้ มาตื่นอีกทีก็เมื่อลู่หรงเดินเข้ามาเรียกนางในห้องเพื่อไปกินข้าว
อาหารที่นางหู่เหมยทำขึ้น ทำให้ใบหน้างามของหรันเยี่ยบิดเบี้ยวแทบจะในทันที นอกจากไข่สองฟองที่เหลือก็มีเพียงผักป่าที่ลวกน้ำแล้วเป็นกับข้าว
นางจะทำใจแย่งไข่ต้มสองฟองกับสองฝาแฝดได้อย่างไร แต่แล้วนางหู่เหมยก็ตักไข่แบ่งออกเป็นสี่ส่วน นางตักให้ทุกคนยกเว้นแต่ตัวนาง
หรันเยี่ยเงยหน้ามองผู้เป็นมารดาของนางในภพนี้ นางรับรู้ได้ถึงความรักที่ถูกส่งต่อมาให้นางในทันที
“ท่านแม่ ท่านก็กินด้วยเถิด” หรันเยี่ยตักไข่ในชามข้าวของนางแบ่งครึ่งให้หู่เหมย
“ไม่ต้อง เจ้ายังได้รับบาดเจ็บอยู่ กินเสียเถิด แม่กินเมื่อใดก็ได้”
“เข้ากินเถิด ข้าหายดีแล้ว” จางซ่งตักในส่วนของตนให้หู่เหมยทั้งหมด และตักในส่วนที่หรันเยี่ยนางแบ่งให้มาใส่ชามของหรันเยี่ยแทน
“ของข้าด้วยขอรับ” สองฝาแฝดต่างก็แย่งกันแบ่งส่วนของตนให้พี่สาวและท่านแม่ของตนกันยกใหญ่
หรันเยี่ยที่กลั้นน้ำตามาจากในห้อง นางก็ร้องไห้ออกมาเงียบๆ นี่คงเป็นความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอย่างที่นางไม่เคยพบว่าก่อน
ถึงแม้ครอบครัวเดิมของนางจะร่วมโต๊ะอาหารกันตลอด แต่ทุกคนต่างก็มีอาหารที่ตนเองชอบ ไม่ต้องมาแบ่งปันกันเช่นนี้
“พี่สาว ท่านเป็นอันใดไป”
“ใช่ เยี่ยเออร์ เจ้าเจ็บปวดที่ใด” นางหู่เหมยเข้ามาตรวจดูบุตรสาว
“ไม่ ไม่เจ้าค่ะ ข้า ข้าฮึก ขอบคุณพวกท่านมาก” นางรับรู้ได้ถึงความรักความห่วงใยจากพวกเขาทุกคน จนไม่รู้ว่าจะพูดออกมาเช่นไร
“โถ่ เจ้าลูกคนนี้ กินเสีย มัวแต่แบ่งให้กันไปมา ข้าวเย็นหมดแล้ว” นางหู่เหมยตักไข่แบ่งคืนให้บุตรชายและสามี ก่อนจะรีบก้มหน้ากินข้าว
ทุกคนจึงได้กินอาหารกันเสียที แม้จะมีเพียงไข่เล็กน้อยกับผักป่าลวก หรันเยี่ยนางก็กินข้าวได้อย่างเอร็ดอร่อย พออาหารหมดลง ฝาแฝดทั้งสองก็ทำหน้าที่เก็บจานชามไปล้าง หรันเยี่ยนางจึงได้ไปเข้าห้องน้ำ เพื่อล้างตัวจะเข้าห้องนอน
พอนางมาเห็นห้องน้ำเท่านั้น นางก็ผงะถอยหลังออกมาทันที ด้านในมีเพียงโอ่งที่ใส่น้ำไว้จนเต็มกับที่ขับถ่าย ที่ถูกขุดเป็นหลุดมีเพียงไม้กระดานพาดไว้เพื่อใช้เหยียบนั่งขับถ่าย
แต่ยังดีที่ยังไม่มีผู้ใดเข้ามาขับถ่ายไว้ อาจจะเป็นเพราะทุกคนเพิ่งจะมาถึงเรือนในวันนี้ หากเต็มแล้วนางยังคิดไม่ออกว่าจะทำเช่นไร หรือต้องตักไปทิ้ง แล้วใครต้องตัก นางต้องตักหรือไม่ ในหัวมีแต่คำถามขึ้นมาไม่หยุด
นางจะเคยเห็นของเช่นนี้ได้อย่างไร ได้แต่ทำหน้าบิดเบี้ยวทั้งยังอยากจะร้องไห้ออกมาอีกรอบแล้ว
“มีอันใดหรือไม่ท่านพี่” ลู่เฉิงเห็นพี่สาวยืนอยู่หน้าห้องน้ำ แต่ไม่ยอมเข้าไปด้านในก็เดินเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง
“ไม่ ไม่มีอันใด” นางรีบพุ่งตัวเข้าไปทันที เพราะไม่รู้จะบอกเขาว่าเช่นไร
หรันเยี่ยอาบน้ำเร็วที่สุดเท่าที่นางเคยอาบน้ำ ก่อนจะรีบร้อนเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับออกไปเข้าห้องนอน
นางบอกกล่าวทุกคนว่านางจะเข้าไปในมิติ เพื่อให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วงนาง