หนิงซูเยว่หลบตาไม่กล้าจ้องด้วย แต่ต้องแกล้งยิ้มเขินอาย ดีที่นางสั่งให้นางกำนัลไม่ต้องจุดตะเกียงให้สว่างมากนัก ฮ่องเต้มือปลาหมึกจะได้มองแววตานางไม่ออก ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ถ้าหากหยางจื่อมองชัดๆ ต้องรู้ว่านางกำลังลอบด่าเขาอยู่ในใจเป็นแน่
“เป็นพระกรุณายิ่งแล้วเพคะ แต่หม่อมฉันยังมีเรื่องไม่สบายใจ”
“เรื่องอะไรไหนว่ามาซิ”
“ทูลฝ่าบาท ครั้งแรกที่ได้ยินว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทต้องการมาเพื่อจะสั่งลงโทษหม่อมฉันที่สั่งให้สนมชายาทั้งตำหนักในนั่งคุกเข่าสองชั่วยามเสียอีก ส่วนสาเหตุที่หม่อมฉันทำลงไปก็เพราะพวกนางลบหลู่หม่อมฉันก่อน หม่อมฉันเลยสั่งลงโทษพวกนางเพคะ”
หยางจื่อยังรักษาสีหน้าเรียบนิ่งดังเดิม “พวกนางลบหลู่เจ้า ดังนั้นก็สมควรถูกลงโทษ ฮองเฮาเป็นประมุขฝ่ายในจะจัดการยังไงก็แล้วแต่เจ้าเห็นสมควร”
หนิงซูเยว่ประหลาดใจ คนตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่แต่รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ อย่างบอกไม่ถูก หยางจื่ออมยิ้ม จางกงกงรายงานเขาแล้วว่าเสวียอวี้เจินและพระราชชายาลู่เฟยต่างพูดวิพากษ์วิจารณ์หนิงซูเยว่จริงๆ เขาจึงไม่ว่าที่นางสั่งลงโทษสนมชายา
“จบเรื่องของคนอื่นแล้วใช่ไหม ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของเราบ้าง คืนนี้พวกนางไม่สามารถถวายงานเราได้ วันนี้เราจะให้เจ้าปรนนิบัติเราเสียที ฮองเฮาคงไม่ปฏิเสธหน้าที่ใช่หรือไม่”
“อะไรนะเพคะ” หนิงซูเยว่ร้องเสียงหลง เมื่อเห็นสีหน้าจับผิดของหยางจื่อจึงรีบก้มหน้าตอบ “เอ่อ เพคะ”
ดวงตามังกรลอบเห็นสีหน้าของฮองเฮาเหมือนกลืนยาขมแวบหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงปลดอาภรณ์ให้เราเถิด”
“หา เอ่อ เพคะ” หนิงซูเยว่ตาโตขึ้นอีก จำต้องทำเพราะพระบัญชาจะอิดออดก็ไม่ได้ นางจะขยับตัวลุกขึ้นแต่หยางจื่อก็กดบ่าไว้ ให้นางนั่งลงตามเดิม นางมองอย่างไม่เข้าใจ ขมวดคิ้วทำใจดีสู้เสือ “มีอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันจะลุกขึ้นถอดชุดคลุมมังกรให้ฝ่าบาท”
“ไม่ต้อง เราอยากให้เจ้านั่งใกล้ๆ เราแบบนี้แล้วถอด”
“แล้วจะถอดชุดคลุมมังกรออกอย่างไรล่ะเพคะ” หนิงซูเยว่เริ่มไม่พอใจ แต่ยังรักษาน้ำเสียงให้หวานใส
“เริ่มจากถอดผ้ารัดเอวออกก่อนจากนั้นเจ้าค่อยปลดชุดคลุมมังกรออกก็ได้ ทำตามที่เราสั่ง เราอยากให้เจ้านั่งถอดให้เรา เพราะเราอยากเห็นหน้าเจ้าใกล้ๆ”
‘เห็นหน้าหม่อมฉันแล้วเป็นเช่นไร พระองค์จะได้แกล้งหม่อมฉันสนุกขึ้นใช่ไหม ฮ่องเต้เจ้าสำราญองค์นี้น่าชิงชังที่สุด’
“ก็ได้เพคะ ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาททรงอยู่นิ่งๆ นะเพคะ” หนิงซูเยว่ยิ้มหวาน บรรจงถอดเชือดคาดเอวออกช้าๆ ตามด้วยปลดชุดคลุมมังกรที่มีลวดลายมังกรเก้าตัวสวยงามยิ่งนักออกจนเหลือแต่ซับใน นางเฝ้ามองดูปฏิกิริยาทุกอย่างของเขา นับว่าเขาควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม ไม่มีท่าทางวาบหวิวไปกับสัมผัสที่นางเตะผ่านลงไปเลยมีแต่นางที่ใจเต้นรัวไปหมดแล้ว
หนิงซูเยว่ลอบสูดลมหายใจเข้าลึก วางเดิมพันต่อ มีแต่เดินหน้าเท่านั้นถึงจะรู้ว่านางจะอยู่รอดในวังหลังนี้ได้หรือไม่ นางปลดชุดซับในของหยางจื่อเป็นชิ้นสุดท้ายแล้วมัดกล้ามกำยำของเขาจึงเผยออกมา ผิวสีขาวแสนกำยำมองดูเหมือนหยกที่แกะสลักอย่างปราณีตผิดกับภาพวาดในหนังสือประวัติศาสตร์ที่ดูผอมแห้งไม่น่ามอง จิตกรที่วาดภาพเขาไม่รู้ว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหน นางพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เบิกตากว้างมากนัก และบังคับตัวเองไม่ให้กลืนน้ำลายดังเกินไป ฮ่องเต้ไม่ใช่พระเอกโรมานซ์สักนิดแต่หยางจื่อมีสิ่งที่คนในยุคนางเรียกว่าซิกแพคอย่างครบถ้วน
หยางจื่อเองก็ขนลุกไม่น้อยกับนิ้วมือเล็กๆ ที่แตะไปมาไม่หยุด ทั้งตรงหัวนมและกล้ามเนื้อหน้าท้อง นางจะรู้หรือไม่ว่าทำให้เลือดลมในกายของเขาฉีดพล่านมากแค่ไหน หนิงซูเยว่ในวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก เมื่อก่อนนางดูไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แถมไร้เสน่ห์ จืดชืด เวลาคุยกันมีเพียงคำพูดว่าเพคะ ส่วนมากเขาแทบไม่ได้มองหน้านางเลยเพราะนางเอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลา หรือที่ฮองเฮาเปลี่ยนไปคงเพราะนางกลับไปคิดได้ว่าหากไร้ซึ่งความโปรดปรานจากเขานางก็จะอยู่ในวังอย่างยากลำบากอีกทั้งตระกูลของนางก็คงจะถูกเล่นงานได้ง่าย นางถึงได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปมาก
‘นับว่าเจ้าฉลาดขึ้นมาก หนิงซูเยว่’
เขาคิดแล้วกระตุกยิ้มมุมปากนางต้องการยั่วยวนเขาใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะทำให้นางสมความปรารถนาเขาจะร่วมเตียงกับนางแต่เขาจะไม่ให้โอรสหรือองค์หญิงกับนาง เพราะหลังจากที่เขาได้ร่วมเตียงแล้วเขาจะให้ขันทีนำโอสถมาให้นางกินทันที
‘อย่างไรมังกรย่อมเหนือหงส์’
หนิงซูเยว่แปลกใจกับท่าทางตอบสนองกับนิ้วมือของเธอ จู่ๆ ฮ่องเต้หน้ามึนก็ลุกขึ้นแถมยังอุ้มเธอขึ้นไว้แนบอกด้วย
“ฝ่าบาทจะทำอะไรเพคะ”
“เราจะร่วมเตียงกับเจ้ายังไงล่ะ ถ้านั่งบนเก้าอี้แบบนั้นคงไม่ถนัดอันที่จริงบนเก้าอี้เราก็ชอบอยู่ไม่น้อย แต่เห็นว่าฮองเฮายังใหม่กับเรื่องนี้ เราจึงจะอุ้มเจ้าไปวางที่เตียง”
‘หื่น’
ฮองเฮาสีหน้าตระหนกนางจะห้ามเขาได้อย่างไร เขาเป็นฮ่องเต้เป็นเจ้าชีวิตของนางในเวลานี้ ถ้านางขัดขืนก็เท่ากับทำให้เขาโมโหและเท่ากับนางรนหาที่ตายเร็วขึ้นเท่านั้น ดีไม่ดีถูกโยนไปตำหนักเย็นคงหมดความสะดวกสบาย คิดแล้วว่าเมื่อสวมบทบาทแทนหนิงซูเยว่นาทีนี้ต้องมาถึง เธอคิดคำนวณสิ่งต่างๆ ในหัว จนเมื่อแผ่นหลังกระทบฟูกนิ่มๆ ความคิดอื่นก็อัตรธานบินหายไปหมดเพราะปากร้อนรุ่มของหยางจื่อตามลงมาประกบจูบอย่างคาดไม่ถึง
หนิงซูเยว่เบิกตากว้าง หยางจื่อจัดการปลดอาภรณ์จากร่างนางอย่างคล่องแคล่วจนเหลือแต่เรือนร่างเปลือยเปล่า
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉัน...”
“มีอะไร หรือว่าเจ้าไม่อยากปรนนิบัติเรา”
“ไม่...เอ่อ..ไม่ปฏิเสธเพคะ”
ตอบอย่างกลั้นใจไปแล้วก็หลับตาแน่น ไม่มีทางอื่นให้ถอยหนีอีก นางลืมตาขึ้นมาก็เห็นโอรสสวรรค์โน้มตัวลงมาแล้ว
หยางจื่อกระตุกยิ้มเห็นสีหน้าระทมทุกข์ของนางก็แปลกใจทำไมนางไม่ต้องการให้เขามอบโอรสให้หรอกหรือ อันที่จริงนางควรรีบเอาอกเอาใจเขานี่นา น่าแปลก แต่เวลานี้เขาไม่มีเวลาจะคิดเรื่องอื่นเพราะความเย้ายวนของเรือนร่างตรงหน้าที่สะกดสายตาเขาไว้
เขาซุกใบหน้ากับซอกคอขาวผ่องแล้วกำลังพรมจูบไปทั่วลำคอระหง กำลังจะตักตวงความงดงามให้ทั่วเรือนร่างนี้ แต่พลันสวรรค์ล่ม ทุกอย่างชะงักงัน เมื่อเสียงจางกงกงขานเรียกอยู่หน้าห้องบรรทม
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ มีรายงานด่วนจากชายแดน”
หยางจื่อสีหน้าบูดบึ้ง ระงับความต้องการที่กำลังพวยพุ่งขึ้นสูงให้สงบลง เขาเคยสั่งจางกงกงไว้ว่าถ้ามีเรื่องด่วนที่ชายแดนให้เข้ามารายงานเขาได้ทันทีทุกที่ทุกเวลา เขาลุกขึ้นมาอย่างเสียดาย
“เราจะออกไปพบจางกงกง”
หนิงซูเยว่เกือบจะยิ้มออกมา แต่เดี๋ยวโอรสวรรค์จะสงสัยรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นอาลัยอาวรณ์ ยกมือคล้องคอเขาไว้
“ฝ่าบาทมีเรื่องด่วนอะไรเพคะ ยังไม่เสด็จไปไม่ได้หรือเพคะ”
“ไม่ใช่เรื่องของสตรี นอนไปซะ” ว่าเพียงเท่านั้นหยางจื่อก็แกะมือของนางออก ลุกขึ้นไปแต่งตัวอย่างหงุดหงิดโดยไม่เรียกนางกำนัลเข้ามาช่วยแล้วกลับออกไปจากตำหนัก หนิงซูเยว่มองตามแล้วผ่อนลมหายใจโล่งอก
‘สวรรค์มีตา เพราะเราเป็นคนดี เลยรอดน้ำมือฮ่องเต้หื่นมาได้’