ตอนที่ 2
คำแนะนำของคนแปลกหน้า
เสียงดนตรีคลอเบาๆ ในผับหรูใจกลางเมือง แสงสลัวสร้างบรรยากาศเหมาะสำหรับการนั่งดื่มเพื่อผ่อนคลายหลังจากทำงานมาอย่างหนัก ญาณิดาไม่เคยชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่ในคืนนี้ ความเครียดจากเรื่องงานทำให้เธอออกมานั่งดื่มเพื่อระบายความเครียดและหลีกหนีจากความเป็นจริงที่ไม่รู้จะจัดการยังไงต่อ
หญิงสาวนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ สั่งค็อกเทลแก้วที่สามมาดื่มแต่ความเครียดก็ยังมีอยู่เต็มหัวใจ ภาพใบหน้าเย้ยหยันกับคำพูดที่ทวงบุญคุณของศิวกรทำให้เธอไม่อาจลืมเรื่องนั้นได้เลย
“ไม่น่าเลย...เฮ้อ....” ญาณิดาพึมพำกับตัวเอง เธอรู้สึกเหมือนคนโง่ที่ไว้ใจคนผิดมาตลอด เธอมองศิวกรเป็นรุ่นพี่ที่น่านับถือมาตลอดแม้จะเคยได้ยินเรื่องที่เขามักแอบอ้างเอางานของรุ่นน้องคนอื่นมาบ้างแต่มันก็แค่จุดเล็กๆ ไม่ใช่ผลงานทั้งหมดที่เธอเป็นคนทำ
“อะไรที่ไม่น่าเหรอครับ”
เสียงทุ้มดังขึ้นข้างๆ ทำให้ญาณิดาหันไปมองเห็นชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อ ดวงตาคมกริบแต่ดูเป็นมิตรกำลังนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ
ธันวาชายหนุ่มวัย 30 ปีกำลังนั่งมองเธอด้วยรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก เขาสังเกตตั้งแต่เธอเดินเข้ามาและนั่งดื่มโดยไม่สนใจคนอื่นมันเลยทำให้เขาสนใจเธอมาก
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและท่าทางมั่นใจในตัวเองถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่มานั่งดื่มคนเดียว มันต่างจากผู้หญิงหลายคนที่เข้ามาเพื่อจะหาเพื่อนคุยหรือหาใครสักคนอยู่ด้วยในคืนที่เหงา
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ญาณิดารีบปฏิเสธเพราะเขาคือคนแปลกหน้าที่เธอไม่ควรจะคุยด้วย
“แต่ดูเหมือนคุณจะกำลังมีเรื่องกลุ้มใจนะเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นอกหักหรือเรื่องงานล่ะ” เขาพอจะมองออกว่าผู้หญิงที่ออกมานั่งดื่มคนเดียวแบบนี้ถ้าไม่ทะเลาะกับแฟนก็คงมีปัญหาอะไรสักอย่าง
“คุณคิดว่าไงล่ะ” ญาณิดาหันมาถาม
“ผมเดาว่าเรื่องงาน”
“เดาเก่งนี่คะ บอกได้ไหมว่าทำไมถึงคิดว่าเป็นเพราะเรื่องงาน” หญิงสาวถามกลับเพราะแปลกใจที่เขาเดาถูก
“มันแตกต่าง”
“ยังไงคะ” เธออยากรู้ว่าเขามองออกมายังไงและคิดว่าบางครั้งการคุยกับคนแปลกหน้ามันก็ให้มุมมองอะไรใหม่ๆ
“ก็ถ้าคุณมาดื่มเพราะอกหักหรือทะเลาะกับแฟนผมคงได้เห็นคุณร้องไห้แต่นี่ดูเหมือนคุณกำลังโกรธใครหรืออะไรสักอย่างถึงได้ออกมานั่งดื่มคนเดียวแบบนี้”
“ก็ตามนั้นค่ะ” เธอยังไหล่ก่อนจะยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ
“คงเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรใช่ไหมล่ะ”
“สำหรับคนอื่นฉันไม่รู้แต่สำหรับฉันมันใหญ่มากค่ะ ตั้งแต่ทำงานมาก็เพิ่งจะเคยเจอแบบนี้” ญาณิดาไม่รู้ว่าที่บริษัทอื่นมีเรื่องแบบนี้ไหม
“ดูคุณไม่ค่อยสบายใจเลยนะ อยากเล่าให้ฟังไหม”
“แต่เราไม่รู้จักกันนะคะ”
“ผมชื่อธันวา คุณล่ะครับ”
“ดรีมค่ะ”
“ตอนนี้เราก็รู้จักกันแล้วนะครับ อยากเล่าไหมล่ะ”
ญาณิดาไม่รู้ว่าควรจะเล่าเรื่องนี้ให้คนแปลกหน้าฟังดีไหมแต่เมื่อคิดว่าเล่าไปก็คงไม่มีอะไรเสียหายหญิงสาวเลยรวบรวมความกล้า เธอเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ตั้งแต่งานออกแบบบ้านคุณธวัชที่เธอทุ่มเททำมาทั้งหมด การที่ศิวกรเข้ามายึดผลงานเป็นของตัวเอง การที่ศิวกรอ้างบุญคุณที่เคยแนะนำเธอเข้ามาทำงาน
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงเลยค่ะ”
“คุณก็บอกผู้จัดการสิครับ บอกเขาว่างานทั้งหมดคุณเป็นคนคิดเอง”
“ฉันก็คิดแบบนั้นแต่ตอนนี้ผู้จัดการไม่อยู่อีกอย่างลูกค้าก็เลยเข้าใจแล้วว่าเป็นผลงานของเขา” หญิงสาวถอนหายใจเพราะเรื่องถ้าจะไปบอกลูกค้าว่าคนที่ออกแบบคือเธอก็กลัวจะไม่มีความเป็นมืออาชีพ
ธันวานั่งฟังอย่างเงียบๆ ตลอดเวลา สีหน้าของเขาเรียบเฉย แต่แววตาคมกริบนั้นฉายแววครุ่นคิด
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ การที่ผลงานของเราถูกคนอื่นเอาไปแอบอ้างว่าเป็นของตนเองไป มันเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม”
“แล้วคุณธันวาคิดว่าฉันควรทำยังไงดีคะ” เธอถามด้วยความหวัง
“ผมคิดว่าคุณต้องคุยเรื่องนี้กับผู้จัดการและให้เขาเป็นคนไปคุยกับลูกค้าอีกทีเพื่อความถูกต้อง”
“ถ้าคุณธันวาเป็นลูกค้าคุณจะคิดว่าเราไม่มีความเป็นมืออาชีพไหมคะ”
“ผมก็ตอบแทนลูกค้าของคุณไม่ได้เหมือนกัน เรื่องนี้ผู้จัดการของคุณต้องเป็นคนจัดการเพราะถ้าลูกค้ามารู้ทีหลังเขาจะคิดว่าพวกคุณโกหกนะ”
“นั่นสินะฉันก็ลืมคิดเรื่องนี้เลย ขอบคุณนะคะคุณธันวาวันมะรืนนี้ผู้จัดการจะกลับมาฉันจะรีบไปคุยเรื่องนี้กับเขาค่ะ” ญาณิดาพอจะเห็นทางสว่างแล้วว่าจะคุยเรื่องนี้กับคุณสมเกียรติยังไง
“เวลาไปคุยกับเขาก็ต้องพาคุณศิวกรไปคุยด้วยกันในห้องนั้นด้วยนะ คุณต้องเผชิญหน้ากับเขาและยืนยันความจริงให้เจ้านายของคุณรู้”
“ฉันกลัวว่าเจ้านายจะเชื่อพี่กรมากกว่า”
“ถ้าคุณมีคำอธิบายที่ดีผมว่าเจ้านายคุณก็น่าจะมีเหตุผลมากพอนะ คุณต้องเตรียมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับงานนี้ไปให้ละเอียดที่สุด ตั้งแต่แนวคิดของการออกแบบ สเก็ตช์งานที่เริ่มต้นตั้งแต่แรกผมว่าคุณน่าจะเก็บไว้นะ”
“ใช่ค่ะ ฉันเก็บผลงานไว้ทุกขั้นตอนเลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก ผมเอาใจช่วยนะ”
“แต่มันยังติดปัญหาอีกเรื่องค่ะ”
“ปัญหาอะไรเหรอ”
“ก็เรื่องที่กรเขามีบุญคุณและเป็นคนพาฉันเข้ามาทำงานที่นี่”
“นั่นมันก็ใช่นะ แต่ถ้าคุณทำงานไม่ดีคุณคิดว่าบริษัทจะจ้างคุณเหรอ”
“ถ้าพี่กรโกรธฉันมากกว่าเดิมแล้วมันจะกระทบกับการทำงานในอนาคตล่ะคะ”
“ถ้าอย่างนั้น ยิ่งต้องทำให้เรื่องนี้กระจ่างครับ ถ้าคุณยอมให้คนอื่นเอาผลงานไปง่ายๆ ครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปก็จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก และนั่นจะยิ่งส่งผลเสียต่ออาชีพการงานของคุณในระยะยาว คุณคิดว่าคุณจะทำงานอย่างมีความสุขได้ยังไง ถ้าคุณรู้ว่าผลงานที่คุณทุ่มเททำถูกคนอื่นช่วงชิงไปตลอดเวลา”
คำพูดของธันวาทำให้ญาณิดาคิดตามและเงียบไปครู่หนึ่ง
“ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่คิดล่ะคะ”
“ไม่มีใครรับประกันผลลัพธ์ได้ 100% หรอกครับ แต่การที่คุณเลือกที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อความถูกต้อง มันก็เป็นชัยชนะในตัวมันเองแล้ว”
ญาณิดาเงยหน้ามองธันวาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาดูจริงจังและรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
“ขอบคุณนะคะสำหรับคำแนะนำที่ดี”
“ผมไม่ชอบเห็นใครโดนเอาเปรียบแบบนี้เลย มันไม่ยุติธรรมกับคนที่ตั้งใจทำงาน”
“ฉันเองก็ไม่ชอบค่ะ ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกสองวันฉันจะเตรียมข้อมูลให้ได้มากที่สุด”
“ผมเชื่อว่าคุณทำได้ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม หรือต้องการคำปรึกษาอะไรอีก คุณสามารถติดต่อผมได้เสมอ” เขาหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าส่งให้ญาณิดา
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณธันวา” หญิงสาวรับนามบัตรก่อนจะเก็บนามบัตรใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวังโดยที่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดบนนามบัตร
ญาณิดายิ้มกว้าง เธอรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้แต่แรก การได้ระบายความทุกข์ใจและได้รับคำแนะนำจากคนที่ไม่รู้จักมันก็ทำให้เธอได้คิดอะไรหลายอย่าง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ หวังว่าจะได้เห็นผลงานที่แท้จริงของคุณในโปรเจกต์ใหญ่ๆ ในอนาคตนะครับ” ธันวาพูดแล้วยิ้มก่อนจะยืนขึ้นก่อนจะเดินออกไปจากผับ
“ค่ะ” ญาณิดาตอบรับด้วยรอยยิ้มเธอมองแผ่นหลังกว้างของธันวาที่เดินหายไปท่ามกลางผู้คนในผับ