ตอนที่ 3

3115 Words
22.00 น. “แพงบอกแล้วว่ายังไงก็ต้องทัน” เสียงของพะแพงดีใจเมื่อได้รับกระเป๋าใบใหม่ภายในค่ำคืนนี้ ฟางข้าวส่งยิ้มให้น้องสาวบางๆ เมื่ออยู่หน้าห้องนอนของอีกฝ่าย พะแพงชูถุงกระดาษใบใหญ่ที่บรรจุกระเป๋าด้านในขึ้นดู ก่อนที่สองคิ้วจะขมวดเมื่อเห็นว่าถุงกระดาษที่ปั้มชื่อโลโก้แบรนด์นี้จะมีรอยเปื้อนหลายจุด “ทำไมถุงมันเปื้อนอะพี่ข้าว พี่ไปทำอะไรมาเนี้ย พี่รู้ไหมว่าเฉพาะถุงของมันน่ะแพงแค่ไหน” “คือ...พี่สะดุดล้มน่ะ ของเลยตกพื้นไปด้วย มันคงเปื้อนตอนนั้น” ฟางข้าวตอบอ้อมแอ้ม อันที่จริงเธอถูกโจรฉุดกระเป๋าสะพายต่างหาก แถมยังถูกไอ้โจรร้ายนั่นตบหน้า ข้าวของที่ฟางข้าวถือตอนนั้นก็ร่วงลงพื้นทั้งหมด “สะดุดล้มเหรอ พี่นี่ซุ่มซ่ามตลอดเลย” “พี่ขอโทษ เดี๋ยวพี่เอาไปเช็ดให้นะ ถูกับผ้าชุบน้ำน่าจะออก” “ไม่ต้อง แพงกลัวว่าพี่จะยิ่งทำมันเปื้อนมากกว่า” พะแพงมองฟางข้าวตาขวาง ก่อนจะถอนหายใจเสียงดังและปิดประตูห้องนอนใส่หน้าเธอ ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาหม่นหมองมองบานประตูตรงหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้องนอนของตัวเองที่อยู่ติดกัน เธอทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงกว้าง ฟางข้าวทำทุกอย่างเต็มที่เท่าที่เธอจะทำได้ หญิงสาวถอนหายใจก่อนที่ใบหน้าของใครบางคนจะผุดเข้ามาในหัวสมอง ผู้ชายคนนั้นที่เข้ามาช่วยเธอ เขามีสายตาที่อบอุ่นยามจ้องมองมา ทว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนเดียวกับเป้าหมายที่เธอจะต้องเข้าไปล้วงความลับให้กับบิดา ฟางข้าวไม่อยากทำ และยิ่งรู้ว่าเขาคนนั้นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใครต่อใครพูด มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อธุรกิจของครอบครัวกำลังจะล่มจม สิงหโภคินไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หากฟางข้าวทำงานนี้พลาด ชะตากรรมทั้งหมดของครอบครัวขึ้นอยู่กับเธอ... Rrrr นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่นานเสียงเรียกของมือถือก็ดังขึ้น มือบางรีบหยิบมันออกจากกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ข้างตัว เธอมองหน้าจอที่ปรากฏเบอร์ไม่คุ้น ฟางข้าวกดรับสาย “สวัสดีค่ะ” (สวัสดีครับ คุณฟางข้าว) หน้าอกข้างซ้ายของคนตัวเล็กเต้นถี่หนักเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เธอจำได้แม่น แม้จะได้คุยกันไม่กี่ประโยค แต่สุ้มเสียงทุ้มต่ำแบบนี้ เธอไม่มีวันลืม “คุณเหมันต์เหรอคะ” (ครับ นึกว่าคุณจะจำผมไม่ได้ซะแล้ว) ดวงตาคู่สวยกลอกไปมาอย่างประหม่า เป็นเขาจริงๆ ด้วย... “พึ่งจะเจอกัน ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะคะ” (นั่นสินะครับ) “...” (คุณถึงบ้านรึยังครับ?) น้ำเสียงลุ่มลึกที่ถามมา ฟางข้าวขบเม้มริมฝีปาก “ถึงสักพักแล้วค่ะ” (พรุ่งนี้คุณว่างรึเปล่าครับ) “พรุ่งนี้เหรอคะ” (ผมมาทวงอาหารมื้ออร่อยที่คุณบอกว่าจะเลี้ยงขอบคุณ) “...” (เลี้ยงอาหารก็แค่ข้ออ้าง จริงๆ แล้ว ผมอยากเจอคุณอีก) หัวใจดวงน้อยของหญิงสาวเต้นไม่เป็นส่ำ อาจเป็นเพราะทุกอย่างมันกำลังเป็นไปในทางที่ดีในขณะที่เธอแทบจะไม่ได้ลงมือทำอะไรด้วยซ้ำ หรือไม่อาการที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจจะเป็นเพราะประโยคเมื่อครู่ของเขา บวกกับน้ำเสียงนุ่มๆ นั่น ฟางข้าวกลืนน้ำลายลอคอก่อนจะตอบออกไป “ได้สิคะ พรุ่งนี้เราเจอกันนะคะ” (ครับ ผมแอดไลน์คุณตามเบอร์นี้ไปแล้ว ส่งชื่อร้านมาให้ผมนะครับ) “ได้ค่ะ” (ผมจะรอคุณ ฝันดีนะครับ) “ฝันดีค่ะ” ฟางข้าวลดมือถือลงมาและกดตัดสาย ก่อนที่แอปพลิเคชันไลน์จะเด้งข้อความจากคนที่พึ่งแอดมาใหม่ เธอส่งสติกเกอร์ไปหาอีกฝ่ายเมื่อเหมันต์ส่งสติกเกอร์หมีถือหัวใจมาให้ ฟางข้าวส่งชื่อร้านที่เธอมักจะไปทานกับพะแพงประจำให้เขา ก่อนจะกดปิดหน้าจอและกำมือถือแน่น ฟางข้าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก เพราะทุกอย่างมันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เอาจริงๆ เธอไม่มีแผนการอะไรอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย และฟางข้าวก็ไม่ได้คิดร้ายกับเหมันต์ มิหนำซ้ำเธอยังรู้สึกผิดกับเขา เพราะถ้าเหมันต์รู้ว่าเธอเป็นใคร และมีจุดประสงค์อะไร ผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ใจดีกับเธอแบบนี้ก็ได้ ใบหน้าสวยหม่นหมองลงอีกครั้ง เธอเลือกอะไรไม่ได้จึงต้องทำ และฟางข้าวจะทำเท่าที่เธอทำไหว... วันต่อมา ณ ภัตตาคารชื่อดังใจกลางเมืองหลวง ร่างระหงของหญิงสาวอยู่ในชุดเดรสยาวราคาแพงสีขาว เส้นผมสีน้ำตาลคาราเมลขับใบหน้าสวยผ่องจนใครมองก็ต้องสะดุดสายตา ใบหน้าสวยหวานที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางไม่หนามาก ฟางข้าวเดินเข้ามาในร้านก่อนจะมองหาคนที่เธอนัดเอาไว้ก่อนจะเห็นร่างสูงกำยำในชุดภูมิฐานของเหมันต์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าบุคลิกภายนอกของฟางข้าวจะสวยและสง่ามากแค่ไหน ทว่าแตกต่างจากข้างในจิตใจที่เธอไม่เคยมั่นใจในตัวเองเลยสักครั้ง ร่างกายที่อ่อนแอแต่เธอมักจะดูแลตัวเองเป็นอย่างมาก ภายนอกจึงดูไม่เหมือนคนป่วย มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเธอมีโรคประจำตัวถึงขั้นต้องพกยาเอาไว้ตลอด หญิงสาวมองเห็นชายหนุ่มก่อนจะเดินเข้าไปหาเขา ฟางข้าวส่งยิ้มให้เหมันต์และนั่งลงตรงข้ามกับอีกฝ่าย ส่วนเขาก็ส่งยิ้มให้เธอเช่นกัน “รอนานไหมคะ” “ไม่นานครับ” นัยน์ตาสีรัตติกาลลุ่มลึกจ้องมองผู้หญิงตรงหน้า ภายใต้หน้ากากแสนดีกำลังซ่อนปีศาจร้ายเอาไว้รอเพียงวันเปิดเผยตัวตน บริกรเดินเข้ามารับรายการอาหารจากทั้งสอง ก่อนที่บริกรชายจะโค้งให้และเดินหายไป ฟางข้าวมองไปรอบร้านอีกครั้งด้วยสายตาไม่มั่นใจ ก่อนจะหันไปมองคนตรงหน้าที่เอาแต่จ้องเธอ “วันนี้คุณสวยมากเลยครับ” จู่ๆ เหมันต์ก็พูดขึ้น สายตาของเขามีประกายบางอย่างและริมฝีปากที่ยิ้มน้อยๆ เมื่อพูดออกมา ส่งผลให้หญิงสาวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที “ชมตรงๆ แบบนี้ฉันก็เขินแย่สิคะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นทำให้ชายหนุ่มหลุดขำน้อยๆ เธอยกมือเกาแก้มของตัวเอง เหมันต์มองอาการประหม่าของอีกฝ่าย ส่งสายตาอบอุ่นกลับไป “ผมพูดจริงๆ นะครับ” “...” “ผมดีใจที่วันนี้ได้เจอคุณอีก และก็ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเจอคุณทุกวัน” ฟางข้าวชะงักเมื่อได้ยินประโยคของเขา เธอจำได้แม่นว่าบิดาเคยพูดว่า เหมันต์ เดชราชันย์ เป็นบุคคลที่เจ้าชู้ เขาเป็นที่เลื่องลือในวงการว่าเป็นตัวพ่อในการเปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้า ฟางข้าวไม่ได้แปลกใจมากนักหากเขากำลังจะเกี้ยวเธออยู่ แต่ยังไงก็อดที่จะรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ ฟางข้าวพยายามอย่างมากที่จะทำตัวให้เป็นปกติต่อหน้าอีกฝ่าย ‘ลูกใช้ความสวยของตัวเองมัดใจของมัน พ่อเชื่อว่ายังไงไอ้เหมันต์ก็ต้องสนใจในตัวลูก’ และคำพูดของบิดาก็วนเข้ามาในหัวสมองอีกครั้ง เธอได้ปรึกษากับเกริกไกรว่าจะทำยังไงให้ล้วงความลับสำคัญนั้นได้ บิดาของเธอก็เอาแต่แนะนำในเรื่องนี้ ก็คือเรื่องอย่างว่า ฟางข้าวพร่ำถามตัวเองซ้ำๆ ว่าเธอนั้นต้องเอาตัวเองเข้าแลกเพื่อจะได้ความลับนั้นมา และถ้าหากทำไม่สำเร็จล่ะ ใช่ว่าคู่นอนของเหมันต์ทุกคนจะเข้าไปคลุกคลีกับเรื่องงานของเขาได้ง่ายๆ สักหน่อย แทบจะไม่มีหวังที่เธอจะทำงานนี้สำเร็จเลย “ผมบอกว่าอยากเจอคุณทุกวัน ถึงกับเงียบเลยเหรอครับ” “ป...เปล่านะคะ ฉันไม่รู้จะตอบว่ายังไง” เหมันต์ส่งยิ้มบางๆ ให้คนตรงข้าม เขาแสดงท่าทีเป็นผู้ชายอบอุ่นที่หยอดคำหวานเก่งให้ผู้หญิงซื่อบื้อตายใจ นัยน์ตาเรียวรีมองใบหน้าหวานที่ก้มมองมือตัวเองบนตัก ไม่ก็หันมองไปทางอื่นอยู่ไม่กล้าสบตากับเขานานๆ ถึงภายนอกของเธอจะดูสวยสะกดสายตา ทว่าท่าทางโง่เง่าตามคนไม่ค่อยทันทำให้เหมันต์ยิ่งนึกสนุกที่ได้เล่นเกมนี้ เขากำลังจับตามองว่าฟางข้าวจะใช้แผนไหนเดินหน้าเพื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ดูๆ แล้วมีแต่เขาที่เข้าหาเธอ เกริกไกรส่งลูกบุญธรรมของตัวเองมาตายฟรีชัดๆ นั่งคุยกันไม่กี่คำอาหารก็มาเสริฟ ฟางข้าวมองอาหารบนโต๊ะที่น่าตาน่ากินทุกอย่างก็ลงมือจับช้อนส้อม ทว่าเธอยังไม่ทันได้ขยับมือด้วยซ้ำ อาหารหนึ่งอย่างก็ถูกตักมาใส่ในจานของเธอด้วยฝีมือของคนตรงข้าม “ขอบคุณนะคะ” เหมันต์เพียงส่งยิ้มให้ร่างบาง เขากินของตัวเองสลับกับตักอาหารใส่จานฟางข้าวเรื่อยๆ หญิงสาวที่ไม่เคยถูกผู้ชายคนไหนทำแบบนี้ก็อดที่จะรู้สึกบางอย่างไม่ได้ เธอไม่เคยได้รับการอนุญาตให้มีแฟนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ฟางข้าวไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าการถูกเทคแคร์จากใครสักคนเป็นยังไง และตอนนี้เธอกำลังได้รับสิ่งแปลกใหม่จากผู้ชายที่ชื่อเหมันต์ เขาเป็นคนแรกที่เธอออกมานั่งกินข้าวด้วยกันสองคน เป็นคนแรกที่ทำท่าทีใส่ใจเธอ และเป็นคนเดียวกับเป้าหมายของเธอ ทำให้หญิงสาวขื่นขมในอก และกลืนอาหารลงไปแต่ละคำช่างยากเย็น “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” “เปล่าค่ะ คุณทานบ้างสิคะ ไม่ใช่ตักให้ฉันอย่างเดียว” เธอมองจานของเขาที่ไม่พร่องเท่าไร เหมันต์เลิกคิ้วเล็กน้อยและส่งยิ้มอบอุ่นให้ “ผมเห็นคุณทานเยอะ ผมก็มีความสุขแล้วครับ” “...” “ร้านนี้อร่อยจริงๆ นะครับ คุณคงจะมาบ่อย” เหมันต์ถามขึ้น ฟางข้าวพยักหน้า “ค่ะ ฉันมากับน้องสาวบ่อยๆ เธอชอบที่นี่มาก” “ผมนึกว่าคุณจะมากับแฟน” “แฟนเหรอคะ” คนน่ารักเบิกตาเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแห้งใส่เขา “ฉันไม่มีแฟนหรอกค่ะ” เหมันต์พยักหน้าช้าๆ เขาส่งยิ้มให้เธออยู่ตลอด นัยน์ตาสีเข้มฉายความอบอุ่นไม่เปลี่ยนแปลง “ถ้าอย่างนั้น ผมก็จีบคุณได้น่ะสิครับ” “คะ?” “ทำไมทำหน้าตกใจขนาดนั้นล่ะครับ” เหมันต์หลุดขำเล็กน้อย พลางจ้องมองแก้มใสทั้งสองข้างที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตากลมสวยหลุบลงอย่างที่ชอบทำ ก่อนเธอจะช้อนสายตาขึ้นมองเขา “คุณพูดเล่น—” “ผมพูดจริงครับ” “...” “ผมชอบคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น แต่คุณไม่ต้องกลัวนะ ผมจะไม่ทำให้คุณอึดอัด” “...” “ทานข้าวเสร็จ ถ้าคุณว่าง เราไปดูหนังกันต่อไหมครับ แต่ถ้าคุณไม่ว่างก็ไม่เป็นไร” ฟางข้าวกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะกลอกสายตาไปมา เธอหายใจไม่ค่อยทั่วท้องนัก แต่ในเมื่อทุกอย่างลงล็อคเป็นไปตามที่เธออยากให้เป็น ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ “ฉันว่างค่ะ” 21.00 น. หลังจากอาหารมื้อนั้น เราสองคนก็ไปดูหนังหนึ่งเรื่องกันที่ห้างใกล้ๆ และต่อด้วยออกมาเดินตลาดกลางคืนที่อยู่ในระแวกนี้ ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว ฟางข้าวและเหมันต์กำลังเดินกลับไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ในซอยเล็กๆ ข้างตลาดกลางคืน เพราะวันนี้เป็นวันหยุด คนค่อนข้างเยอะจึงหาที่จอดรถยาก ตอนนี้ทั้งคู่เดินลัดเลาะอยู่ในซอยแคบๆ เพื่อจะทะลุไปยังซอยที่จอดรถเอาไว้ รอบข้างไม่มีใคร มีเพียงเธอและเขาที่เดินทอดน่องกันไปเรื่อยๆ ถนนเลนส์เดียวมีแสงไฟสลัวเป็นจุดพอให้มองเห็นทาง ร่างกำยำเดินเคียงข้างร่างบาง วันนี้ทั้งวันเขาพาเธอไปเที่ยวและใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ทว่าไม่มีสักครั้งที่ฟางข้าวจะหลุดพูดถึงเรื่องรายชื่อคู่ค้า ความลับสุดยอดที่เธอต้องมาล้วงจากเขา เหมันต์ก็ไม่เปิดประเด็น เพราะเขาอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะมาไม้ไหน “วันนี้สนุกไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ใบหน้าหวานยิ้มกว้างออกมาและพยักหน้ายามที่เดินข้างกายเขา “สนุกค่ะ ฉันไม่เคยมาตลาดนี้เลย” “ชอบไหมครับ วันหลังเรามากันอีกนะ” “...” ฟางข้าวเงยหน้ามองคนข้างกาย เธออมยิ้มและพยักหน้าให้อีกฝ่ายก่อนจะดึงสายตาตัวเองกลับมามองพื้นถนนตรงหน้า จนมาถึงตอนนี้ หญิงสาวก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรให้เข้าถึงเรื่องรายชื่อคู่ค้าธุรกิจของเหมันต์ ฟางข้าวไม่มีแผนอะไรในหัวเป็นชิ้นเป็นอัน อยากจะเปิดประเด็นเรื่องงานของเขาแต่ปากก็หนักเกินกว่าจะพูดออกไป เพราะเธอกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับพิรุธได้ วันนี้ทั้งวันเลยไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย เดินไปอีกไม่กี่ก้าวเสียงเรียกเข้ามือถือเหมันต์ก็ดังขึ้น มือหนาล้วงออกมามองหน้าจอก็หันบอกหญิงสาวที่เงยหน้ามองเขาอยู่ก่อน “ผมขอตัวไปคุยโทรศัพท์แป๊บนึงนะครับ น่าจะเรื่องงานสำคัญถึงโทรมาป่านนี้” “ได้ค่ะ” ฟางข้าวมองแผ่นหลังกว้างที่เดินเลี้ยวเข้าไปในซอกซอยเล็กๆ เพื่อที่จะคุยโทรศัพท์ ท่าทางของเขาดูเป็นความลับมากทำให้หญิงสาวแอบเดินตามไป เธอมองเขาห่างๆ ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ เพราะฟางข้าวรู้ดีว่าอีกฝ่ายทำงานอะไร การที่บอกว่าเป็นงานสำคัญนั่นก็แปลว่าเขาไม่อยากให้เธอรับรู้ แต่มันอาจจะเป็นงานเดียวกับที่เธอต้องการจะรู้ก็ได้ หญิงสาวชั่งใจว่าจะเดินเข้าไปใกล้เหมันต์ดีหรือไม่ แต่ถ้าไม่เสี่ยงตอนนี้ก็ไม่รู้จะเสี่ยงตอนไหน สองมือกำสายกระเป๋าถือแน่น ย่างเท้าให้เบาที่สุดเพื่อไปให้ใกล้ร่างกำยำที่หันหลังคุยโทรศัพท์อยู่ แต่ต้องเบิกตาถลนเมื่อด้านหลังของฟางข้าวมีใครบางคนเข้ามาประชิดก่อนที่ฝ่ามือสากจะปิดปากของเธอแน่นจนกระเป๋าที่ถืออยู่หล่นลงพื้นและร่างกายของเธอก็ถูกบุคคลปริศนาลากออกไปจากตรงนี้ ดวงตาเอ่อล้นด้วยน้ำใสๆ มองแผ่นหลังกว้างของเหมันต์ที่ไกลออกไปเรื่อยๆ เธอดิ้นพล่านในขณะที่ถูกลากเข้าไปในซอกซอยแคบๆ อีกซอยไม่ไกลจากเมื่อครู่ ก่อนที่ร่างบอบบางจะถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงชื้นเหม็นอับ ฟางข้าวจับหัวไหล่ตัวเองด้วยความเจ็บปวด “อย่าเข้ามานะ ช่วยด้วย!!! อื้อ!!!” พวกมันมีสองคน เป็นคนที่ฟางข้าวไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้จัก ผู้ชายหน้าตาน่ากลัว ตัวสูงใหญ่ผิวคล้ำ รอยสักเต็มตัวทั้งคู่พุ่งเข้ามาปิดปากของเธอและผลักจนฟางข้าวล้มลงกับพื้น ขาเรียวขาวขูดกับซีเมนต์จนเลือดไหลออกมา เธอร้องไห้ปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้ม พยายามร้องให้เหมันต์ได้ยิน แต่ก็ไร้วี่แววที่เขาจะมาเห็น “ฮึก!!” เธอถูกหนึ่งในสองคนคร่อมบนพื้นและลำคอก็ถูกบีบแน่นด้วยฝ่ามือใหญ่สาก ฟางข้าวจิกเล็บไปบนลำแขนของคนบนร่าง เธอมองหน้าอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตา ใบหน้าเหี้ยมเกรียมที่กำลังบีบคอเธอไร้ความเมตตา ฟางข้าวร้องไห้สะอื้นและเริ่มหายใจไม่ออก เธอรู้สึกเจ็บปวดที่ลำคอเหมือนจะขาดใจอยู่รอมร่อ ความกลัวสุดขีดกัดกินหัวใจจนร่างกายกระตุกในที่สุด แรงบีบคอคลายออกแล้ว ทว่าอาการของโรคประจำตัวได้กำเริบแทน เธอรู้สึกเจ็บปวดไปหมดทั้งร่าง ลมหายใจติดขัด ยกมือกำหน้าอกตัวเองและดิ้นพล่านอยู่บนพื้นเพราะพยายามหายใจให้ได้ ดวงตาพร่าเลือนมองเห็นผู้ชายสองคนที่ทำร้ายเธอเดินหายไปทิ้งเพียงหญิงสาวนอนทุรนทุรายเพราะอาการหอบหืดได้กำเริบ ฟางข้าวหายใจไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ แผงอกกระเพื่อม สองมือพยายามควานหากระเป๋าของตัวเองที่ไม่รู้ตัวเลยว่าทำตกตั้งแต่ตอนที่ถูกลากมาแล้ว ในนั้นมียาพ่นของเธออยู่ ลมหายใจที่ติดขัดยิ่งเพิ่มความทรมานจนร้องไห้ออกมาอย่างหนัก “อึก!!! เฮือก!!! ช่วย—ด้วย” ห่างไปไม่กี่เมตร ปรากฏร่างสูงใหญ่ของมาเฟียหนุ่ม เขายืนมองบนพื้นถนนที่มีผู้หญิงคนนั้นนอนดิ้นพล่านเหมือนจะขาดใจด้วยแววตาแข็งกระด้าง มุมปากหยักยกยิ้มออกมาช้าๆ เหมันต์เอียงคอมองฟางข้าวที่กำลังทรมานด้วยความสนุกสนานและในมือของเขาถือกระเป๋าของเธอ ถ้าให้เดาในนี้คงจะมียาพ่นแก้โรคหอบหืด...เขาได้อ่านประวัติของผู้หญิงหน้าโง่คนนี้ มีข้อหนึ่งที่เหมันต์สนใจมากๆ คืออาการป่วยด้วยโรคประจำตัว มันค่อนข้างที่จะทำให้ช่วงเวลาน่าเบื่อของเขามีอะไรให้ท้าทายมากขึ้น เขาจ้างคนมาทำร้ายอีกฝ่ายด้วยความคะนองเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นอาการป่วยโรคหอบจะกำเริบขึ้นมาเป็นของแถม เหมันต์ได้เห็นกับตาก็รู้เลยว่าถ้าไม่ได้ยาพ่นนี้ในระยะเวลาที่จำกัดอาจจะถึงตายได้...เขาพ่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก แววตาแข็งกร้าวราวกับปีศาจ ในนั้นว่างเปล่ายามที่มองฟางข้าวหายใจไม่ออกจนทรุดร่างกายลงกับพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ายามที่จะลุกขึ้นยืน น่าสมเพช ยังไงผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีวันชนะเขาได้ โง่งมแถมยังอ่อนแอ กล้ามากที่จะเข้ามาล้วงความลับสำคัญของธุรกิจเขา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD