ตอนที่ 4

1719 Words
โง่งมแถมยังอ่อนแอ กล้ามากที่จะเข้ามาล้วงความลับสำคัญของธุรกิจเขา เหมันต์มองอาการที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จนยืนไม่อยู่ของอีกฝ่ายก็พยายามปั้นหน้าให้เป็นตื่นตระหนก เขารีบวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวที่ทรุดลงบนพื้น มือหนาเปิดกระเป๋าสะพายของเธอออกมาและหยิบยาพ่นในนั้นมาไว้ในมือ เขาส่งหลอดยาไปให้ฟางข้าว มือสั่นเทารับไว้และจัดการพ่นยาใส่ปากของตัวเองอย่างชำนาญ นัยน์ตาสีรัตติกาลมองภาพตรงหน้านิ่งๆ ก่อนที่ฟางข้าวจะหลับตาแน่นและสูดยาเข้าไปเต็มปอด ไม่กี่วินาทีอาการของเธอก็ดีขึ้นเมื่อได้รับยา แต่ร่างเล็กก็ยังคงทรุดนั่งลงกับพื้น เหมันต์ที่นั่งชันเข่าตรงหน้าเธอก็แสร้งตีสีหน้าเป็นห่วง เขามองใบหน้าหวานที่ซีดไร้เลือด รอยแดงที่ลำคอเพราะถูกบีบเมื่อครู่ยังชัดเจน มุมปากหยักยกยิ้มเมื่ออีกฝ่ายร้องไห้ออกมา ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย “คุณเป็นยังไงบ้างครับ” “อึก...ฉัน ไม่เป็นไรค่ะ” ฟางข้าวตัวสั่นเพราะความกลัว เธอมองหน้าเหมันต์ที่มองมาด้วยความเป็นห่วง “เมื่อกี้มีใครก็ไม่รู้ทำร้ายฉัน” “ใครครับ?” “ฉันก็ไม่รู้ค่ะ ฮึก” “คุณไม่รู้จักเหรอ” “ไม่ค่ะ ฉันไม่รู้จัก” “คุณมีศัตรูที่ไหน แล้วกำลังถูกแก้แค้นรึเปล่าครับ?” “...” “ผมหมายถึง พวกนั้นอาจจะเป็นคนที่คุณเคยรู้จักมาก่อน” ฟางข้าวกลอกสายตาไปมา เธอนึกไม่ออกเลย เธอไม่รู้จักสองคนนั้นแน่ๆ พวกนั้นเป็นใครกัน หรือไม่ก็เป็นหนึ่งในศัตรูทางธุรกิจของบิดา ใครสักคนที่บิดาของเธอเคยมีปัญหาด้วยคงจะกลับมาเอาคืนที่เธอที่เป็นลูกสาว “ช่างเถอะค่ะ พวกนั้นอาจจะสุ่มทำร้ายคนก็ได้ ฉันคงโชคร้าย” ร่างบางพยายามลุกขึ้นยืน ได้เหมันต์ที่ช่วยประคองก็ทำให้เธอเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง “ขอบคุณคุณเหมันต์มากนะคะที่ช่วยฉัน ถ้าไม่ได้คุณฉันคงแย่แน่ๆ” “ไม่เป็นไรครับ เราไปโรงพักกันเถอะ แจ้งความเรื่องที่คุณถูกทำร้าย” ฟางข้าวส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไปแจ้งความตำรวจก็ต้องซักไซร้เรื่องแรงจูงใจหรือศัตรู หากฟางข้าวให้ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของเธอ เหมันต์ก็ต้องได้ยิน เธอไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องที่เกี่ยวกับเธอไปมากกว่านี้ “คุณแน่ใจนะครับว่าจะไม่ไปแจ้งความ” “ค่ะ” “งั้นรีบไปที่รถกันเถอะครับ” ทั้งคู่เดินไปตามทางเรื่อยๆ อีกครั้ง ฟางข้าวที่ร่างกายไม่ค่อยดีก็ได้แต่เดินก้มหน้า เธอยังคงเจ็บปวดกับการที่โดนทำร้ายเมื่อกี้ “คุณเป็นโรคหอบเหรอครับ” จู่ๆ เหมันต์ก็ถามขึ้น เธอหันมองหน้าเขาเล็กน้อยและก้มหน้าลงอีกครั้ง “ใช่ค่ะ” “อาการของคุณจะกำเริบตอนไหนบ้างครับ?” น้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นห่วงใยและถามไถ่เพื่อเป็นความรู้ ฟางข้าวไม่ทันได้สังเกตเห็นแววตาเยือกเย็นข้างกาย “อาการของฉันเหรอคะ ส่วนมากก็จะเป็นตอนที่ทำอะไรเหนื่อยๆ ค่ะ ฉันออกกำลังกายหนักๆ ไม่ได้เลย ทำได้แค่บางอย่าง แล้วก็อากาศเย็นมากก็ทำให้กำเริบได้ค่ะ ฉันต้องดูแลตัวเองไม่ให้เป็นหวัด เพราะถ้าเป็นหวัดสักนิดเดียว ก็จะหายใจไม่ออกเหมือนจะตายเลยล่ะค่ะ” เสียงเหนื่อยตอบปนหัวเราะ ทว่าเป็นการหัวเราะที่สมเพชในตัวเอง เธออ่อนแอกว่าคนทั่วไป แน่นอนว่ามันเป็นภาระในชีวิต ต่างจากอีกคนที่พยักหน้ารับรู้ในคำตอบ เหมันต์เก็บข้อมูลใส่หัวว่าปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้ผู้หญิงคนนี้เกิดอาการทรมานแบบเมื่อครู่... เพราะวันข้างหน้า เขาจะได้เอามาเล่นสนุกอีกยังไงล่ะ “ผมอยากดูแลคุณ” ทว่าคำพูดของเขาทำให้ฟางข้าวเงยหน้าขึ้นมอง เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ส่งสายตาอ่อนโยนระคนเห็นใจให้ หญิงสาวกำมือแน่น หัวใจดวงน้อยเต้นอยู่ในอกเมื่อได้รับสายตาลุ่มลึกของร่างใหญ่ “คุณฟางข้าวครับ” “...” จู่ๆ เหมันต์ก็หยุดเดิน เขาหันหน้าหาเธอ พลางเอื้อมมือไปคว้าสองมือเล็กมาจับไว้ นิ้วโป้งลูบเบาๆ บนมือบาง ฟางข้าวก้มมองมือของเขาที่จับมือของเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน ความรู้สึกอบอุ่นประหลาดแล่นเข้ามาเกาะกินหัวใจ เธอช้อนสายตาสั่นไหวมองคนตัวสูง ใบหน้าหล่อเหลายามที่จ้องมองมา หญิงสาวเห็นประกายความจริงใจอยู่ในแววตาคู่นั้น “วันนี้ผมมีความสุขมาก และผมก็อยากเจอคุณแบบนี้ทุกวัน” “...” “ยิ่งผมเห็นคุณเจ็บ มันยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าอยากอยู่ข้างๆ คุณ อยากเป็นคนที่ดูแลคุณ” “คุณเหมันต์...” “เรามาลองคบกันไหมครับ” ฟางข้าวเบิกตากว้าง เธอหายใจติดขัดและไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไรแบบนี้ เธอก้มหน้าหลบสายตาเขา ทำไมทุกอย่างมันถึงเร็วไปหมด...ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาพูดอะไรทำนองนี้กับเธอ ทว่าฟางข้าวปฏิเสธทั้งหมดเพราะคนที่บ้านสั่งห้ามให้เธอมีความรัก ที่ผ่านมาหญิงสาวจึงไม่เคยคบใคร ไม่เคยตอบตกลงใคร ชีวิตของเธอต้องดูแลพะแพงมาตั้งแต่จำความได้ ด้วยร่างกายที่อ่อนแอแบบนี้แต่ฟางข้าวก็ต้องกัดฟันอดทนมาตลอด ทว่าวันนี้กลับมีผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าอยากดูแลเธอด้วยสายตาที่จริงใจ และเป็นคนเดียวกับที่ตระกูลของเธอต้องการจะล้วงความลับสำคัญ ร่างบางเอาแต่ก้มหน้า ก่อนจะเงยหน้าสบตากับเหมันต์ที่รอคำตอบ “มันไม่เร็วไปเหรอคะ” ฟางข้าวถามกลับ เพราะเราสองคนเจอกันแค่สองครั้งเท่านั้น แต่ก็ไม่แปลกสำหรับคนที่เป็นเสือผู้หญิงอย่างเขา ฟางข้าวรู้ดีว่าเหมันต์อาจจะพูดออกมาโดยปราศจากความรัก เขาอาจจะแค่อยากได้เธอ ถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมา “มันอาจจะเร็วไปสำหรับคุณ แต่สำหรับผมไม่” “...” “ถ้าผมชอบใคร ผมก็จะบอกออกไป ผมไม่ชอบให้เวลามันเดินไปโดยเปล่าประโยชน์” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นราบเรียบ ทว่าแววตาลุ่มลึกสะกดความรู้สึกคนมองได้ ฟางสบตากับอีกฝ่าย หากเป็นเหตุการณ์ปกติ เธอคงจะปฏิเสธเพราะดูออกว่าผู้ชายอย่างเขาไม่ได้หวังอะไรนอกจากร่างกายของเธอ แต่นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ปกติ ในเมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้า ฟางข้าวก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ แม้จะรู้ว่ากำลังพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย ที่อาจจะเดิมพันด้วยชีวิตก็ตาม “ถ้าคุณมั่นใจ...ฉันก็จะลองดูค่ะ” เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้น มาเฟียหนุ่มก็แสร้งทำเป็นยิ้มดีใจออกมาและกุมมือบางเอาไว้แน่น ทั้งคู่มองตากัน แต่ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง เหมันต์มองด้วยความรัก ทว่าข้างในแสนเกลียดชัง อยากจะเชือดคนตรงหน้าเป็นชิ้นๆ เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น ฟางข้าวมองด้วยสายตาไม่มั่นใจ ทว่าข้างในหัวใจดวงน้อยเต้นถี่หนักทว่าต้องยับยั้งตัวเองเอาไว้ ต่างคนต่างเป้าหมาย ต่างความรู้สึก อยู่ที่ใครจะชนะในเกมนี้เท่านั้นเอง 23.40 น. ผับออนิกซ์ เสียงเพลงดังกระหึ่มในสถานที่อโคจรยามราตรี หลังจากที่เหมันต์แยกกับเหยื่อของเขาเมื่อตอนหัวค่ำ ร่างสูงก็เดินทางมาที่ผับร้านประจำทันที เหมันต์ยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับแก้วของเพื่อนสนิท โฬม และ สิงหา ทั้งสามรู้จักกันเพราะทำงานในแวดวงเดียวกันคือธุรกิจสีดำ และที่ชอบนัดเจอกันก็เพราะมีนิสัยที่คล้ายกัน นั่นก็คือนิสัยที่ชอบหาคู่นอนไม่ซ้ำหน้า ไม่จริงจังกับใคร ฟันแล้วทิ้งไปเรื่อยๆ เป็นงานถนัดที่สามมาเฟียสันดานเลวชอบทำเป็นชีวิตจิตใจ “มึงว่าไงนะ มึงขอคบกับยัยนั่นเหรอ?!” สิงหา เจ้าของบ่อนพนันหลายแห่งในประเทศเอ่ยขึ้น ใบหน้าหล่อเข้มเพราะต้นตระกูลเป็นเจ้าพ่อค้ายารายใหญ่ของภาคใต้ จ้องมองไปที่ใบหน้าของเหมันต์ที่พึ่งเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังจบ “อืม” “อย่าบอกนะว่าพิศวาสผู้หญิงคนนั้นเข้าจริงๆ” โฬม ชายหนุ่มรูปหล่อผิวขาว เจ้าของสนามแข่งรถผิดกฎหมายหลายแห่งทั่วประเทศพูดขึ้นสมทบ เหมันต์ตวัดสายตามองหน้าเพื่อนทั้งสองก่อนจะยกยิ้มออกมา “มึงคิดว่ากูจะชอบคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับกูงั้นเหรอ?” “แล้วมึงมีแผนอะไรกันแน่” คนถูกถามกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้าน มีสาวสวยมากมายจับจ้องมาที่พวกเขา และแน่นอนว่าผู้หญิงเหล่านั้นต่างก็คาดหวังในสิ่งเดียวกัน นัยน์ตาสีรัตติกาลแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้ มันแพรวพราวทว่าก็เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวยามนึกถึงใบหน้าของฟางข้าว “กูต้องการทุกอย่าง...ของสิงหโภคิน” สุ้มเสียงทุ้มพูดในสิ่งที่ตนต้องการ ใช่...เหมันต์มีแผนอะไรที่มันล้ำกว่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เสียเวลาเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับฟางข้าวทั้งที่เธอยังไม่มีทีท่าจะเข้าหาเขาเลยด้วยซ้ำ แต่เหมันต์จะไม่รอให้ศัตรูเป็นฝ่ายบุกเข้ามา ในเมื่อเขารู้จุดประสงค์ของพวกมันแล้ว เขาจะเป็นฝ่ายที่บุกเอง และสิ่งตอบแทนที่ได้มาก็คุ้มค่าและมหาศาล เขาจะต้องอยู่เหนือแผนการทุกอย่างของอีกฝ่าย เป้าหมายของพวกมันคือรายชื่อคู่ค้า เป็นสิ่งเล็กน้อยมากหากเทียบกับเป้าหมายของเหมันต์ เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือทุกอย่างของตระกูลนั้น “กูจะเอาทุกอย่างของพวกมันมาเป็นของกูให้หมด” แผนการแยบยลตลบหลังได้อยู่ในหัวของมาเฟียหนุ่มทั้งหมดแล้ว รอเพียงเวลาตะล่อมเหยื่อและเชือดคอ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD