ตกดึก
ฟางข้าวนอนไม่หลับ เธอกอดตัวเองใต้ผ้าห่มผืนหนา ดวงตาหม่นหมองไร้ประกายสดใสเหมือนอดีต ความคิดมากมายอยู่ในหัวสมอง และเรื่องนั้นล้วนเป็นเรื่องที่เธอจะต้องแต่งงานกับเขา...
หัวใจของหญิงสาวด้านชาไปหมด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไร
Rrrr
ทว่าเสียงเรียกโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ฟางข้าวคว้ามันมาดูหน้าจอ ก็เห็นว่าเป็นชื่อของคนที่เธอกำลังนึกถึงอยู่
เหมันต์ เขาโทรมาจริงๆ อย่างที่บอกเอาไว้
“สวัสดีค่ะ”
เธอกดรับสายและลุกขึ้นนั่งบนเตียงกว้าง เหม่อมองไปที่กำแพงสีขาว
(ผมขอโทษนะครับที่โทรหาดึก ตอนกลับจากบ้านคุณ ผมแวะทำธุระต่อครับ)
“ไม่เป็นไรค่ะ”
(จะนอนรึยังครับ)
“กำลังจะนอนค่ะ แล้วนี่คุณถึงบ้านรึยังคะ”
(ครับ ผมอยู่ที่บ้านแล้ว)
“ค่ะ...”
(นี่ก็ดึกแล้ว งั้นคุณนอนเถอะครับ)
“คุณเหมันต์คะ”
ฟางข้าวเรียกชื่อของเขา เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
(ว่าไงครับ)
“ข้าวขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหมคะ”
(ได้สิครับ)
“คุณเหมันต์ รักข้าวไหมคะ”
เธอกำมือตัวเองแน่น และหลังจากถามจบ ปลายสายก็เงียบไป ความเงียบระหว่างนั้นทำให้ฟางข้าวได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง
(ทำไมถามแบบนั้นล่ะครับ)
“...”
(เรากำลังจะแต่งงานกัน คุณถามเหมือนไม่เชื่อใจผม)
“ข้าว...ข้าวแค่อยากรู้ค่ะ”
(คุณรีบนอนเถอะครับ)
“...”
(ฝันดีนะครับ)
ติ๊ด
มือเล็กค่อยๆ ลดโทรศัพท์ลงมาเมื่อเหมันต์เป็นฝ่ายวางสาย ดวงตาของเธอหม่นหมองมากยิ่งขึ้นเพราะคำถามที่ฟางข้าวถามออกไปนั้น
เธอไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมาเลย
มาเฟียหนุ่มกดวางสาย ก่อนจะโยนมือถือไว้บนโซฟาข้างกาย ภายในห้องหรูของโรงแรมหกดาวใจกลางเมืองหลวง มือหนาคว้าเอาแก้วสีอำพันขึ้นมากระดกก่อนที่นัยน์ตาดุดันจะฉายความกราดเกรี้ยวยามนึกถึงประโยคเมื่อครู่ของปลายสาย
ผู้หญิงหน้าโง่คนนั้นถามว่าเขารักเธอไหม
เหมันต์ได้ยินคำถามนั้นก็แทบอยากจะสำรอกอาหารมื้อเย็นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
ในความสะอิดสะเอียนยังมีความสมเพชเวทนา เหมันต์ไม่คาดคิดว่าฟางข้าวจะกล้าถามอะไรแบบนั้นแต่ก็นะ...เราสองคนกำลังจะจดทะเบียนสมรสกัน อีกฝ่ายคงอยากจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขารู้สึกอย่างไรกับเธอ
แต่เขาเลือกที่จะไม่ตอบ ตั้งใจไม่ตอบ จงใจทำให้เธอค้างคาใจเล่นๆ และกดวางสาย เพราะทำแบบนี้น่ะสนุกจะตายไป ยังไงเขาก็จะไม่มีวันบอกรักใครหากไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
และผู้หญิงอย่างฟางข้าว สิงหโภคินและครอบครัวของมันอีกไม่นานก็จะเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ชายหนุ่มจึงคว้าโทรศัพท์มาไว้ในมือและกดต่อสายหากวิน ลูกน้องคนสนิท
“จัดการบอกพวกมันว่างานแต่งจะมีในอีกห้าวัน และก็เตรียมทุกอย่างให้พร้อม”
(ครับ นายท่าน)
เขากดวางสายหลังจากสั่งการเรียบร้อย ก่อนที่เสียงเปิดประตูห้องน้ำจะดังขึ้น ปรากฏร่างสวยของผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมันต์ใช้เงินเพื่อซื้อเธอมาบำเรอตัวเอง หล่อนคนนั้นอาบน้ำชำระร่างกายจนเสร็จ ก่อนร่างระหงจะเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับรอยยิ้มดึงดูดสายตา นัยน์ตาคมกริบจ้องมองใบหน้าสวยหวานด้วยท่วงท่าสบายๆ ก่อนที่คู่นอนในคืนนี้ของเขาจะปลดผ้าขนหนูที่พันร่างกายตัวเองไปกองลงพื้น เหมันต์ยกยิ้มขึ้นเมื่ออีกฝ่ายคุกเข่าลงตรงกลางหว่างขาของเขาอย่างเป็นงาน
.
.
.
ห้าวันผ่านไป
และในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...วันที่ฟางข้าวจะต้องแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกับ เหมันต์ เดชราชันย์ งานแต่งจัดขึ้นที่บ้านหลังโตของเธอ จะเรียกว่างานแต่งงานได้เต็มปากเต็มคำก็ไม่ได้ เพราะเป็นเพียงแค่พิธีการเล็กๆ เท่านั้น
ทางฝั่งของฟางข้าวเตรียมพร้อมสำหรับพิธีในวันนี้ ทุกอย่างจัดขึ้นที่โถงห้องนั่งเล่นของบ้าน บัดนี้พิธีทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ผู้ใหญ่ทางฝั่งของฟางข้าวได้แก่บิดาและมารดาบุญธรรมของเธอ ส่วนผู้ใหญ่ทางฝั่งของเหมันต์คือคุณลุงและคุณป้าของเขา ซึ่งเหมันต์ได้ให้เหตุผลว่าบิดาและมารดาของเขานั่นอยู่ต่างประเทศกันทั้งคู่ และการแต่งงานที่เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้ทั้งสองกลับมาไม่ได้ ทว่าเกริกไกรไม่ได้ติดใจในเรื่องนี้ อย่างที่รู้ แม้ว่าเหมันต์จะไม่พาญาติผู้ใหญ่มาเลยสักคน แต่ขอแค่การแต่งงานและการจดทะเบียนสมรสได้เกิดขึ้น เกริกไกรก็คิดว่ามันเพียงพอแล้ว
ญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝั่งต่างนั่งกันบนโซฟา ส่วนคู่บ่าวสาวนั่งกันอยู่บนเบาะที่ถูกจัดเตรียมไว้บนพื้นด้านล่าง ตรงหน้าเป็นโต๊ะตัวเตี้ยสำหรับเอาไว้วางสินสอดที่เหมันต์ได้เตรียมเอามาให้ทางเจ้าสาวของเขา สักขีพยานในวันนี้มีเพียงญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย น้องสาวของฟางข้าว ลูกน้องมือขวาของเหมันต์ และนายทะเบียนที่เดินทางมาเพื่อให้ทั้งคู่ได้จดทะเบียนสมรสกันยังนอกสถานที่ ร่างกำยำอยู่ในชุดสูทสีขาว ผูกเนคไทด์สีกรมท่าเข้ม เส้นผมสีดำสนิทถูกจัดทรงเปิดหน้าผากเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติที่กำลังจ้องมองคนตรงหน้าของตน วันนี้เจ้าสาวของเขาสวยมากเป็นพิเศษ ผิวขาวเนียนละเอียดของฟางข้าวขับกับชุดเดรสแขนระบายสีขาว เส้นผมสีน้ำตาลถูกดัดเป็นลอนใหญ่ตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงามด้านหลัง ปล่อยปอยผมสองข้างคลอเคลียใบหน้าน่ารักที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนชมพูหวาน เธอสวยมากๆ ...ทว่าบนใบหน้ามีความอัดอั้นด้วยความรู้สึกบางอย่าง ดวงตากลมหม่นหมองไม่ค่อยเงยหน้าสบตาใครแม้กระทั่งเจ้าบ่าวของเธอเอง ฟางข้าวไม่ได้รู้สึกดีใจหรือมีความสุข เพราะเธอรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก
เธอยอมรับว่าชอบเขา แต่ไม่ได้ถึงขั้นรักจนอยากฝากชีวิต เพราะการที่จะแต่งงานกับใครสักคน สำหรับฟางข้าวนั่นสำคัญ และหญิงสาวก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเหมันต์ก็ไม่ได้รักเธอ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงขอเธอแต่งงานและทุกอย่างในวันนี้ก็ถูกจัดขึ้นอย่างง่ายดายเช่นนี้ เหมันต์แค่ต้องการเป็นดองกับสิงหโภคินเพราะตระกูลของเธอก็ทำธุรกิจประเภทเดียวกับเขา อาจจะมีประโยชน์ต่อเขาในวันข้างหน้า ส่วนบิดาของเธอ แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดฟางข้าวย่อมรู้ดี
มันจึงทำให้เธอต้องยอมให้วันนี้มันเกิดขึ้น...ทั้งที่เราสองคนไม่เคยบอกรักกันเลยด้วยซ้ำ
ดวงตากลมหม่นหมองเงยมองคนตรงหน้า ก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาของเหมันต์ที่จ้องมองมา เขาส่งยิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มใจดีเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา
จนกระทั่งเสียงของคุณลุงของเหมันต์ดังขึ้น เธอและเขาต่างหันมองไปที่ผู้พูด อีกฝ่ายเป็นตัวแทนฝั่งเจ้าบ่าวกล่าวคำพูดสู่ขอไปยังฝั่งบิดามารดาของเธอ เกริกไกรและชมนาดยิ้มไม่หุบ ทั้งคู่เอาแต่มองไปที่โต๊ะตรงหน้าซึ่งวางสินสอดด้วยสายตาลุกวาว ฟางข้าวกลืนน้ำลายไม่ลงคอ เธอหลุบสายตามองมือของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะถึงขั้นตอนที่ทางฝั่งเจ้าสาวเปิดพานสินสอด เป็นเกริกไกรที่ทำหน้าที่นี้ เกริกไกรกวาดสายตาลุกวาวมองชุดเครื่องเพชรชุดใหญ่ ทองแท่งและทองรูปพรรณมากมาย อีกทั้งเงินสดจำนวนห้าล้านบาทที่วางบนผ้า ก่อนที่เกริกไกรจะหยิบแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาและมองมันชัดๆ ก่อนจะอ้าปากค้าง
เพราะมันคือเช็คที่เขียนจำนวนเงิน ‘หนึ่งร้อยล้านบาท’ และลงลายเซ็นของ เหมันต์ เดชราชันย์
สินสอดทุกอย่างรวมกัน มูลค่ามากกว่าที่ตกลงกันเอาไว้หลายเท่า
“ดะ ดะ ดีมากเลยครับ ฮ่าๆๆๆ”
เกริกไกรไม่สามารถกักเก็บอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ ทำให้ชมนาดรีบดึงแขนของสามีให้กลับมานั่งหลังตรงเช่นเดิมเพื่อเก็บอาการ ในขณะที่พะแพงเอาแต่มองสินสอดทั้งหมดบนโต๊ะด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยา และยิ่งมองใบหน้าหวานของพี่สาวของตัวเอง ยิ่งทำให้สองมือของพะแพงกำแน่น
ฟางข้าวกำลังจะไปใช้ชีวิตดีๆ กับคนรวยขนาดนี้ หลังจากนี้พะแพงจะไม่มีคนให้รองมือรองตีน พะแพงไม่สามารถปั้นใบหน้าให้ยินดีและมีความสุขเหมือนบิดาและมารดาได้
“สวมแหวนให้น้องสิเหมันต์”
เสียงของคุณลุงของเขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง มาเฟียหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะหยิบแหวนเพชรเม็ดโตระยิบระยับสวยงามออกมาจากกล่องของมัน และคว้าเอามือซ้ายบอบบางมาไว้ในมือของตัวเอง
เขาจ้องหน้าสบตากับฟางข้าว นัยน์ตาสีรัตติกาลไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เขาสวมแหวนเพชรวงสวยไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ จากนั้นหญิงสาวก็ยกมือไหว้เขา
ต่อไปถึงตาของฟางข้าวบ้าง เธอเอื้อมไปหยิบแหวนของเจ้าบ่าวขึ้นมา เหมันต์ยื่นมือซ้ายของตัวเองมาตรงหน้าของเธอ ฟางข้าวบรรจงสวมแหวนให้เขาก่อนจะเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้ที่สบตากัน ฟางข้าวไม่ได้รับรอยยิ้มและสายตาใจดีส่งกลับมา เธอได้รับเพียงสีหน้าเรียบนิ่งทว่าในดวงตาคู่คมนั้นฉายความร้ายกาจ เพียงครู่เดียวเท่านั้น เหมันต์ก็ปรับสีหน้าของตัวเองให้กลับมาราบเรียบเช่นเดิม
แต่ฟางข้าวมั่นใจว่าเมื่อครู่ตัวเองไม่ได้ตาฝาด