สหทรรศใช้เวลาช่วงบ่ายอยู่ในห้องที่เขาใช้ศึกษาเอกสารและดูกล้องวงจรปิดซึ่งตอนนี้เขาเรียกมันว่าห้องลับ
ตาคู่คมมองไปที่หน้าจอมอนิเตอร์ติดผนังที่กำลังฉายภาพจากกล้องวงจรปิดในจุดต่างๆ ของโรงพยาบาล ซึ่งเขากวาดสายตามองแล้วก็ยังไม่เห็นความผิดปกติใดๆ ร่างสูงละสายตาจากตรงนั้นแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงขมับเบาๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาอย่างปลงไม่ตก เอาเป็นว่าตั้งแต่เขาศึกษาเอกสารกองโตที่นิดาหอบมาให้ รวมถึงดูข้อมูลต่างๆ จากแฟ้มข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ แต่ก็ไม่พบสิ่งปกติอะไรเลยสักอย่าง
นี่บิดาเห็นเขาเป็นยอดนักสืบโคนันหรือไรถึงให้เขามาสืบเรื่องราวแบบนี้
ตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร แต่ตอนนี้ขอบอกเลยว่าเขามั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยละ
มั่นใจว่าเขาไม่มีทางทำเรื่องที่บิดามอบหมายให้สำเร็จได้อย่างเด็ดขาด
แพทย์หนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ขยับตัวลุกจากเก้าอี้แบบล้อเลื่อนตั้งใจว่าจะออกไปหากาแฟเย็นดื่มเสียหน่อย แต่จู่ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาจึงหันไปมองพร้อมยกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ
“ว่าไง ไอ้ลูกชาย”
คำทักทายพร้อมร่างของบิดาที่ก้าวเข้ามาทำให้สหทรรศขยับยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือไหว้บิดา
“สวัสดีครับคุณพ่อ”
ทรรศนะเดินมาหยุดตรงหน้าบุตรชายก่อนจะยกมือขึ้นจับบ่าข้างหนึ่งของสหทรรศเอาไว้ ใบหน้าสูงวัยแต่ทว่ายังคงมีร่องรอยแห่งความหล่อเหลาไม่ต่างจากสหทรรศขยับยิ้มนิดๆ
“ดูจริงจังกับการหาข้อมูลดีนี่ ได้อะไรไหม”
“ยังเลยครับ แต่คุณพ่อครับ ผมไม่เห็นความผิดปกติอะไรเลยนะครับ รวมทั้งเอกสารที่พี่นิดาเอามาให้ผมดูก็ไม่มีข้อมูลอะไรที่บ่งบอกว่าโรงพยาบาลของเราขาดทุนเลยนะครับ มีแต่ได้กำไร บางทีคุณพ่ออาจเข้าใจอะไรผิดไป”
“งั้นเหรอ” ทรรศนะยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง คนสูงวัยกว่าอมยิ้มนิดๆ อย่างมีบางอย่างซ่อนเร้นก่อนจะตอบกลับบุตรชาย “เอาน่า ช่วยสืบให้พ่อต่ออีกนิด ลูกควรจะดูให้ทั่วๆ ดูจากกล้องวงจรปิดแล้ว ก็อย่าลืมเดินไปดูสถานที่จริงตามแผนกต่างๆ ด้วยล่ะ”
“ทำแบบนั้นคนอื่นๆ จะไม่สงสัยหรอกเหรอครับ”
“เอาน่า ลูกควรจะสำรวจให้ทั่วทุกซอกทุกมุมของโรงพยาบาล ถ้าลูกสำรวจครบแล้วได้เรื่องยังไง บอกพ่ออีกทีก็แล้วกัน”
“ครับผม” สทรรศรับคำอย่างเสียมิได้ และเจ้าตัวก็ทำหน้าเมื่อยนิดๆ อย่างจงใจให้บิดาเห็นว่าเขาไม่ค่อยพอใจนักกับเรื่องที่ทำอยู่ แต่ทว่าจำเป็นต้องทำ ทรรศนะทำเพียงมองบุตรชายอย่างเอ็นดู
“อ่อ เสาร์อาทิตย์นี้แวะไปหาแม่เค้าหน่อยสิ เห็นบ่นว่าคิดถึงลูกน่ะ”
“ผมไม่ว่างหรอกครับ ต้องสืบคดีอย่างเร่งด่วนเพราะไม่อยากถูกคลุมถุงชน” น้ำเสียงที่เอ่ยติดจะแง่งอนราวกับเด็กเล็ก และทรรศนะก็เข้าใจดีว่าน้ำเสียงแบบนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังประชดประชันอย่างไม่ต้องสงสัย
“หึๆ” ทรรศนะกลั้วหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี แล้วตอบกลับไป “งั้นเหรอ โอเค พ่อไปก่อนนะ เดี๋ยวจะบอกแม่ให้ก็แล้วกันว่าลูกไม่ว่าง” ทรรศนะขยับตัวจะเดินอออกจากห้องแต่สหทรรศเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนครับคุณพ่อ”
“หืม…”
“ฝากบอกคุณแม่ด้วยนะครับ ถ้าไม่ยุ่งมากนักผมจะไป”
ทรรศนะยิ้มให้บุตรชายอีกครั้ง ก่อนคนสูงวัยกว่าจะเดินออกไปจากห้องลับของสหทรรศ และเขาก็เข้าใจดีว่าถ้าบุตรชายบอกว่าถ้าไม่ยุ่งมากนักจะไป นั่นก็หมายความว่าบุตรชายของเขาจะไปอย่างแน่นอน มันเป็นคำตอบของคนที่ฟอร์มจัดก็เท่านั้นเอง
สหทรรศกลับมาที่ห้องพักราวๆ ห้าโมงเย็น แต่ระหว่างทางเดินนั้นตาคู่คมเหลือบไปเห็นร่างแบบบางแสนคุ้นตาอยู่ในชุดเสื้อยืดคอปกสีขาวแขนสั้นพอดีตัวกับกระโปรงที่มีจีบรอบสั้นเหนือเข่าและรองเท้าผ้าใบสีชมพูในแบบที่ผู้หญิงชอบสวมใส่ เธออยู่ตรงสนามแบดมินตัน ร่างแบบบางกำลังตีลูกขนไก่โต้ตอบกับฝั่งตรงข้ามที่เป็นผู้หญิงร่างท้วมนิดๆ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอที่เป็นผู้ช่วยเหลือคนไข้ที่เขาเจอเมื่อเช้านี้
ร่างสูงใช้แผ่นหลังกว้างพิงที่เสาไฟสปอร์ตไลท์ที่ยังไม่ได้เปิดต้นหนึ่งที่อยู่ข้างสนามแบดมินตัน ตาคู่คมทอดสาย ตาไปที่ร่างบางที่กำลังหัวเราะคิกคักกับการได้ตีลูกขนไก่โต้ตอบกับฝั่งตรงข้าม และคนถูกจ้องก็ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด สหทรรศยังคงยืนอยู่ที่เดิมจนกระทั่งภวิกาและเพื่อนของเธอเดินมาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กเพื่อซับเหงื่อและทั้งคู่ต่างก็หยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมา เขาเดาเอาว่าพวกเธอน่าจะกำลังแยกย้ายกัน เพราะเพื่อนของภวิกายกมือขึ้นโบกลาและภวิกาก็โบกมือกลับไปเช่นกัน
จังหวะที่ร่างแบบบางกำลังจะก้าวออกจากจุดนั้น สหทรรศสาวเท้ายาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงตัวเธอ
“แยมครับ”
ร่างแบบบางชะงักเท้าแล้วหมุนตัวมาตามเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นร่างสูงที่คุ้นตา ใบหน้าเรียวสวยจึงระบายยิ้มแล้วเอ่ยทักทาย
“พี่เท็น เพิ่งออกเวรเหรอคะ” ภวิกาเอ่ยทักไปแบบนั้นเพราะเห็นสหทรรศยังคงอยู่ในชุดปฏิบัติงานที่เธอเห็นเขาสวมใส่เมื่อเช้านี้
“ครับ ว่าแต่แยมกินมื้อเย็นไปหรือยัง”
“ยังหรอกค่ะ แยมเพิ่งจะเล่นแบดเสร็จ กะว่าจะไปหามื้อเย็นอยู่พอดี”
“งั้นให้พี่ไปด้วยนะ พี่เป็นเจ้ามื้อเอง เมื่อวานแยมเลี้ยงข้าวพี่ วันนี้ให้พี่เลี้ยงข้าวแยมบ้างได้ไหมครับ” น้ำเสียงที่ดูคล้ายจะเว้าวอนนิดๆ ของคนตัวสูงทำให้ภวิกามิอาจปฏิเสธเขาได้
“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวแยมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ เจอกันที่เดิมก็ได้ค่ะ” ภวิกาหมายถึงม้านั่งบริเวณหน้าโรงพยาบาลที่เขากับเธอนัดเจอกันเมื่อวานนี้
“ครับ”
ภวิกาเดินมาถึงจุดนัดหมายก็พบว่าสหทรรศนั่งรอเธออยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงลุกจากม้านั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ และเดินนำเธอไปที่ศาลาสำหรับรอรถประจำทางที่อยู่ห่างจากบริเวณหน้าโรงพยาบาลเกือบๆ สามร้อยเมตร และเพียงไม่นานรถโดยสารประจำทางที่ทั้งคู่รออยู่ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า เป็นภวิกาที่ก้าวขึ้นรถไปก่อนโดยมีสหทรรศเดินตามหลังไปติดๆ
เนื่องจากในช่วงเย็นแบบนี้ผู้ใช้บริการรถโดยสารประจำทางค่อนข้างเยอะพอสมควร มีเพียงภวิกาเท่านั้นที่ได้นั่งส่วนสหทรรศนั้นยืนจับพนักพิงตรงเบาะนั่งของเธอ
“เราจะไปไหนกันเหรอคะ” ภวิกาแหงนเงยใบหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ยืนข้างๆ เธอ และเขาเองก็ก้มหน้าลงต่ำมองมาทันทีที่เธอถาม
“พี่จะพาแยมไปกินของอร่อยที่ตลาดนัดเลียบด่วน รามอินทรา” สหทรรศระบายยิ้มนิดๆ ยามที่เอ่ยออกไป เขาแอบแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่ช่วงนี้เขายิ้มบ่อยจนเกินควร ทั้งที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่ยิ้มง่ายอะไรขนาดนี้ และที่สำคัญเขาจะยิ้มง่ายก็เฉพาะตอนที่ได้อยู่กับภวิกาเท่านั้น
“ตลาดนัดเลียบด่วน รามอินทราเหรอคะ เราน่าจะมากันช่วงสิ้นเดือนนะคะ มีของเยอะแยะที่แยมอยากจะซื้อด้วยค่ะ แต่ตอนนี้…” ใบหน้าเรียวสวยก้มลงมองกระเป๋าสะพายที่วางพาดอยู่บนตัก “กระเป๋าแบนมากๆ เลยค่ะ เสียดายจัง”
“ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ เอาไว้สิ้นเดือนเดี๋ยวเราค่อยมากันใหม่”
“อ๋อค่ะ” ภวิกาพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะลดใบหน้าลงให้อยู่ระดับเดิม ตากลมโตสีดำขลับทอดมองไปเบื้องหน้า ทั้งๆ ที่คำพูดของเขาก็ไม่ได้สื่อความหมายใดๆ แต่ทำไมหัวใจของเธอต้องเต้นแรงมากขนาดนี้ด้วย
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีคนคอยห่วงใยใส่ใจเธอ
“ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ เอาไว้สิ้นเดือนเดี๋ยวเราค่อยมากันใหม่”
คำสัญญาเล็กๆ น้อยๆ ของเขาที่บอกว่าจะมากับเธอในคราวหน้า นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจดวงน้อยที่มักจะห่อเหี่ยวกลับพองฟูขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ตั้งแต่บิดาและมารดาของเธอจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ก็มีคนตัวโตที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอนี่แหละที่ดูจะใส่ใจในความรู้สึก ความต้องการของเธอ ถึงแม้ว่าจะรู้จักกับเขาได้เพียงไม่นาน แต่หัวใจของเธอกลับเอนเอียงไปที่เขาอย่างช่วยไม่ได้
ความประทับใจในครั้งแรกที่ได้เจอกับเขา สถานการณ์ที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยเธอในสถานที่อโคจรแบบนั้น ทำให้เธอเกิดความรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งใจในความช่วยเหลือที่อีกฝ่ายมีให้ และความรู้สึกนั้นก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในความรู้สึกนึกคิดและหัวใจดวงน้อยของเธอมาจนถึงขณะนี้ และเธอทราบดีว่ามันก็จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับเธอจะเป็นไปในรูปแบบใดก็ตาม
ภวิกาอมยิ้มน้อยๆ กับความคิดของตัวเอง และเผลอคิดไปถึงตอนที่เขาประทับริมฝีปากหยักลึกลงบนกลีบปากนุ่มของเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะทำเพียงช่วยเหลือเธอ แต่ความรู้สึกนั้นกลับฝังแน่นอยู่ในหัวใจ และอาการใจเต้นแรงในคราวนั้นก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง ปลายนิ้วเรียวถูกยกขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบาๆ ใบหน้าเนียนใสขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างช่วยไม่ได้ และสายตาของเธอก็ดันเผลอหันไปมองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างที่เธอดึงกลับมาไม่ทัน ดวงตากลมโตประสานสายตากับดวงตาคมกริบของเขาเข้าอย่างจัง
“แตะปากตัวเองทำไมครับ แล้วทำไมถึงหน้าแดง”
ภวิกาสะดุ้งตัวน้อยๆ กับคำทักของคนตัวสูง มือบางละจากริมฝีปากของตัวเองแล้วประสานกันไว้ที่หน้าตัก ก่อนจะส่ายหน้าไปมาอย่างเชื่องช้า
“ไม่มีอะไรค่ะ อากาศมันร้อน”
ใบหน้าหล่อเหลายกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง อากาศร้อนอย่างนั้นหรือ รถโดยสารคันนี้เป็นรถโดยสารปรับอากาศ แต่คนตัวเล็กกลับบอกว่าร้อนเสียอย่างนั้น ใบหน้าเนียนไม่มีเหงื่อเลยแม้แต่หยดเดียว เขาว่าอย่างไรก็ไม่ใช่อากาศร้อนอย่างที่เธอกล่าวอ้างแน่ๆ นั่นมันอาการของคนที่กำลังเขินอายชัดๆ แต่เอาเถอะเมื่อเจ้าตัวไม่บอกเขาก็จะไม่คาดคั้น สถานะของเขากับเธอในตอนนี้ดูไม่สมควรนักถ้าเขาจะทำแบบนั้น ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มอย่างเอ็นดูโดยที่สายตาคมกริบคู่นั้นยังคงจ้องมองร่างเล็กที่แสร้งทอดสายตาไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างไม่วางตา