สำหรับวรรษาแล้ว พอนิโคลัสก้าวเท้าออกจากบ้านไปทำงาน เวลางานของเธอก็สิ้นสุดลงที่ตรงนั้น ก่อนจะเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้งเมื่อเวลาที่เขากลับมาซึ่งเวลากลับของเขาใช่จะตรงเวลาแน่นอนเสมอไป แต่ในระหว่างวันนั้น สถานที่ที่หญิงสาวชอบไปขลุกอยู่ด้วยมากที่สุดก็คือห้องครัวของคฤหาสน์หลังนี้ เพราะนอกจากความสนใจส่วนตัวในแง่ของการชอบประกอบอาหารของเธอแล้ว สิ่งสำคัญก็คือสาวๆ ที่ทำงานในห้องครัวนั้นล้วนแต่ใจดีกันทั้งนั้น
แรกๆ ทุกคนก็เกร็งกันอยู่บ้านที่จู่ๆ ผู้หญิงซึ่งคราแรกนั้นคือแขกของเจ้านาย แต่ไปๆ มาๆ กลับลดตัวเองลงมาเป็นคนใช้ประจำบ้านเช่นคนอื่นๆ ลงมาคลุกคลีทักทายด้วย
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ทุกคนในรั้วคฤหาสน์ธอร์นตันก็รู้ดีว่า ผู้หญิงคนนี้มีฐานะพิเศษกว่าคนใช้คนอื่นๆ ในบ้านอยู่ดี
“มาเรีย...วันนี้จะทำอะไรคะ แล้วมีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า”
วรรษาส่งเสียงทันทีที่เธอเดินเข้ามาถึงพื้นที่เขตครัว หลังจากที่แยกจาก เฟรดเดอริกเรียบร้อย พลางส่งยิ้มแฉ่งให้กับมาเรียซึ่งเป็นเชฟประจำคฤหาสน์หลังนี้ แปลกดีที่นิโคลัสจ้างเชฟผู้หญิงแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเชฟผู้ชายเพียงแต่มาเรียถือเป็นหัวหน้ากลายๆ ของบรรดาเชฟทั้งหลายเสียมากกว่า
“วันนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ดิฉันเพียงแค่คิดเมนูสำหรับมื้อเย็นนี้ค่ะ เพราะเห็นคุณเฟรดสั่งมาว่ามิสเตอร์ธอร์นตันจะกลับมารับประทานอาหารเย็นที่บ้าน น่ะค่ะ” มาเรียแจกแจง ขณะที่เริ่มลำเลียงอุปกรณ์ออกมาวางบนโต๊ะกว้าง
วรรษามองการกระทำของมาเรียด้วยดวงตาเป็นประกาย เริ่มคิดถึงสมัยตัวเองทำงานเป็นผู้ช่วยของป้าในร้านอาหารไทย และ...ก่อนหน้าที่เธอจะย้ายมาอยู่กับป้าที่ลอนดอน บ่อยครั้งที่เธอทำงานพิเศษเป็นผู้ช่วยเชฟในร้านอาหาร
“อย่างนั้นเหรอคะ?” หญิงสาวถาม “งั้นให้ฉันช่วยด้วยดีไหมคะ ฉันเคยเป็นผู้ช่วยแม่ครัวที่ร้านอาหารมาก่อนนะคะ” เธออาสาด้วยทีท่ากระตือรือร้น
“จริงเหรอคะคุณเรนนี่” มาเรียยิ้มกว้าง นึกเอ็นดูท่าทางเหมือนตื่นเต้นราวกับเจอของเล่นถูกใจของสาวเอเชียไม่น้อย ก็ดูสิ...ตาของเธอเป็นประกายเชียวราวกับถูกอกถูกใจนักหนา จนลืมคิดไปว่าตนเองเพิ่งได้รับข้อมูลสำคัญมาหยกๆ จากคนตรงหน้า
คนที่ทั้งบ้านต่างก็รับรู้ว่าเธอความจำเสื่อม...แต่กำลังบอกว่าตนเองเคยทำงานในร้านอาหาร...
“เอ่อ...ค่ะ” หญิงสาวทำหน้าเก้อ เพราะเพิ่งรู้ว่าตัวเองหลุดปากบอกอะไรไป แต่ก็รีบปรับสีหน้าโดยเร็วไม่ส่อพิรุธใดๆ ให้มาเรียเอะใจว่าตนเองหลุดอะไรออกไป “ว่าแต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าเจ้านายของเราชอบอาหารอะไร” เธอเปลี่ยนเรื่องพูด หลุบเปลือกตาลงมองผักที่มาเรียหยิบออกมาแล้วเอื้อมมือไปหยิบมามันถือไว้ในมือแล้วพลิกดูมันราวกับจะส่องหาอะไรในผัก
แต่มาเรียดูเหมือนจะไม่ทันฟังว่าวรรษาหลุดอะไรออกไป เจ้าหล่อนยังคงตอบคำถามเจื้อยวแจ้วไม่เอะใจเลยสักนิดเดียว“ก็...ส่วนมากมิสเตอร์ธอร์นตัน ไม่ค่อยจู้จี้เรื่องอาหารมากค่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบทานของหวานเท่าไหร่”
“ไม่ชอบทานของหวานอย่างนั้นเหรอคะ”
วรรษาทวนถามเสียงสูงและนึกแปลกใจอย่างยิ่งยวด
“ค่ะ ขอแค่เห็นจะถูกสั่งให้เอาออกไปทันทีเลยค่ะ” มาเรียยืนยัน สำหรับบ้านหลังนี้อะไรที่มีรสหวานมากเกินไป เป็นถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำขึ้นโต๊ะทั้งนั้น เป็นที่รู้กันว่ามิสเตอร์ธอร์นตันไม่ชอบรสหวานเอามากๆ
“เหรอคะ...”
หญิงสาวลากเสียงยาว แต่ดวงตามีแววซุกซนที่ถ้านิโคลัสได้มาเห็นคงจะรู้ได้ทันทีว่าเจ้าหล่อนนั้นกำลังคิดอะไรแปลกๆ อยู่แน่ๆ
เช้านี้เป็นอีกวันที่นิโคลัสออกจากบ้านด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน สำหรับ นิโคลัสตลอดมานั้น...บ้านหรือคฤหาสน์ตระกูลธอร์นตันเป็นเพียงแค่ที่ซุกหัวนอนเพียงเท่านั้นนับตั้งแต่บิดามารดาของเขานั้นจากไปด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝัน บ้าน...คือสถานที่แรกๆ ที่ไม่อยากจะไปมากที่สุด จนต้องตัดสินใจย้ายไปเรียนที่อเมริกาเป็นเวลานานหลายปี บ้าน...ที่เคยคิดถึงจับใจ แต่บ้านในความหมายของเขาหาใช่สิ่งก่อสร้าง แต่บ้านของเขาคือ...คนที่อยู่ด้วยกัน และแม้จะมีเฟรดเดอริกให้คิดถึงเพราะดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ สนิทสนมกันเหมือนญาติ แต่ให้อย่างไร สำหรับ เฟรดเดอริก...แม้จะรู้ดีว่าฝ่ายนั้นรักเขามากกว่าสิ่งใด แต่เฟรดเดอริกก็ยังมีช่องว่างอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือเขาคือเจ้านาย ส่วนเฟรดเดอริกเป็นเพียงลูกจ้างเท่านั้น
ทว่าเดี๋ยวนี้...ผู้หญิงไร้ที่มาคนหนึ่งกำลังให้เขานึกถึงคำว่าบ้าน...อีกครั้งหนึ่งแล้ว
นิโคลัสนึกถึงวีรกรรมป่วนๆ ที่ทำกับเธอเมื่อเช้านี้แล้วก็หลุดยิ้มขำออกมา สายตาเหม่อมองออกไปนอกกระจกอย่างไร้จุดหมาย มือเรียวหมุนปากกาในมือด้วยอาการเหม่อลอยที่ใครได้เข้ามาเห็นเป็นต้องแปลกใจ แต่แล้วเขาก็ละสายตาจากภาพเบื้องหน้า หมุนกายไปหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กของตนเองขึ้นมา แล้วกดโทรออกหาเพื่อนสนิทของตนเองที่เพิ่งโทรมาเล่าให้ฟังเมื่อไม่นานมานี้ว่าโดนใจสาวคนหนึ่ง และกำลังอยากได้อยู่พอดี รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับสายแล้วจึงทักทายปลายสายด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าว่า
“เป็นไงบ้างไอ้มาร์คัส แกได้แอ้มสาวสวยคนนั้นหรือยังวะ”
“ไม่เกินวันสองวันนี้หรอกโว้ย” ปลายสายโวยลั่นๆ มา แล้วคุยโวอย่างคนที่มีความมั่นใจในตนเองล้นเหลือ “คนอย่างมาร์คัสมีเหรอจะพลาด แค่กระดิกนิ้วสาวๆ ก็วิ่งกรูเข้ามาให้เลือกไม่ขาดมือโว้ย”
เพื่อนสนิทของเขาบอกอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่ทำไมนิโคลัสจะไม่รู้ดีแก่ใจว่ามาร์คัสต้องสามารถทำได้อย่างที่พูดแน่นอน สำหรับสังคมนิวยอร์กในเวลานี้ 'มาร์คัส ฟาวเลอร์' คือเทพบุตรที่บางคนก็รู้ดีว่ามันคือซาตานดีๆ นี่เอง แต่คนที่คบเป็นเพื่อนสนิท ถือเป็นเพือนแท้เพื่อนตายของกันและกันจะไม่รู้เชียวหรือว่าไอ้นี่มันร้าย...ยิ่งกว่านั้น
และแม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่บางครั้งนิโคลัสก็โต้ตอบไม่ได้ว่าตนเองก็ร้าย...ไม่แพ้เพื่อนสนิทตนเองเช่นกัน!
“แหม...ไอ้ขี้โม้” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขัดคออีกฝ่าย นึกอยากแช่งให้มันแห้วจากสาวคนล่าสุดที่ไปสะดุดตาสะดุดใจเสียจริงๆ และแม้เขาจะไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก นอกเหนือจากวันก่อนที่มาร์คัสโทรมาหาแล้วเล่าว่ากำลังถูกใจผู้หญิงคนหนึ่งให้ฟัง ถูกใจมากถึงขนาดอยากจะเก็บไว้ในฮาเร็มที่ไม่เคยได้สร้างอย่างจริงจัง จนเขาถึงกับหัวเราะลั่นไม่เคยนึกว่ามัน...จะหลงผู้หญิงเป็นกับเขาด้วย ก็ในเมื่อไอ้เจ้าชู้ตัวพ่อมันมีแต่ผู้หญิงเข้าหา ไม่ต้องเสียเวลากระดิกนิ้วด้วยซ้ำ นี่ถึงขั้นไปวิ่งไล่ล่าเองอยากจะหัวเราะนัก...สาธุ ขอให้มันแห้วทีเถอะ! มั่นใจในตัวเอง ดีนัก!
เขาหมั่นไส้!