“ไม่เป็นไรหรอกเพราะยังไงผมก็ต้องเข้ามาในเมืองอยู่แล้ว”
“คุณฐาจะไปทานอาหารเย็นที่ร้านไหนคะ”
“ส่วนใหญ่ถ้าไม่ทานที่ร้านของคุณก็ไปนั่งดื่มเหล้ากับเพื่อนน่ะ”
“แล้ววันนี้คุณฐานัดเพื่อนไว้หรือเปล่าคะ”
“วันนี้ไม่ได้นัดใครหรอกเพราะพรุ่งนี้ยังมีงานที่ไร่ต้องจัดการอีกเยอะ ไม่อยากจะกลับดึก” เขาหันมามองเธอเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองถนนต่อ ช่วงหัวค่ำแบบนี้เขาจะขับรถไม่ค่อยเร็วเท่าไหร่เพราะสองข้างทางก็มีรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านที่เพิ่งจะเลิกงานขับสวนทางอยู่เกือบตลอด
“ถ้างั้นไปทานข้าวที่ร้านเนสนะคะวันนี้เนสจะโชว์ฝีมือทำให้เองเลยค่ะ”
“ทำอาหารเป็นด้วยเหรอคะ”
“พอได้ค่ะแต่ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ อยู่ที่ว่าคุณฐาจะกล้าทานหรือเปล่า”
“มีเมนูอะไรที่ทำเก่งๆ บ้างล่ะ”
“ถ้าที่ทำเป็นประจำก็พวกสปาเก็ตตี้พาสต้าค่ะ อาหารไทยก็ทำเป็นนะคะ แต่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ แล้ววันนี้คุณฐาอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“เรื่องทานอาหารฝีมือคุณเอาไว้วันหลังดีกว่านะ วันนี้คุณเองก็น่าจะเหนื่อยมาก”
“ที่คุณฐาพูดแบบนี้เพราะคิดว่าเนสจะเหนื่อยที่ตามคุณฐาเข้าไปในไร่ตลอดทั้งวันหรือเพราะกลัวอาหารฝีมือของเนสมันจะไม่อร่อยกันแน่คะ”
“ผมไม่กล้าตัดสินหรอกตราบใดที่ผมยังไม่ได้ทานแต่วันนี้ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวนะ”
ฐากูรเปลี่ยนจากคำว่าทานเป็นคำว่ากินเพราะคิดว่าการคุยกับ เนสิตาไม่ใช่การคุยแบบเป็นทางการเท่าไหร่
“ก๋วยเตี๋ยวเหรอคะ ปกติคุณฐาจะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านไหน” เมื่อเขาใช้คำพูดที่ดูเหมือนสนิทสนมมากขึ้นเนสิตาก็ยิ้ม
“ผมไม่มีร้านประจำหรอกขับรถไปเจอร้านก๋วยเตี๋ยวที่ไหนมีที่จอดรถก็กินเลย คุณล่ะเคยกินไหม”
“มีใครบ้างไม่เคยกินล่ะคะ เนสมีร้านประจำอยู่สองร้านอยู่ที่ว่าคุณฐาจะกินก๋วยเตี๋ยวแบบไหนเนสจะได้แนะนำถูกค่ะ”
“ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวน้ำตกคุณกินได้ไหมล่ะ”
“ได้สิคะ”
“โทรบอกแม่หรือยังว่าจะไปกินข้าวกับผมเดี๋ยวท่านก็ชะเง้อคอรอหรอกแล้วก็บอกน้าชายคุณด้วยนะว่าถึงไหนแล้ว”
“นั่นสิลืมไปเลยเนสขอโทรศัพท์หาแม่กับน้าพลก่อนนะคะ คุณฐาขับตรงไปก่อนเลยค่ะ”
หญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์ในเป้ออกมาแล้วโทรศัพท์ไปบอกมารดาว่าเธอจะพาเธอไปกินก๋วยเตี๋ยวซึ่งร้านที่เธอพาไปนั้นอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารของเธอเท่าไหร่จากนั้นก็โทรไปบอกน้าชายด้วยประโยคเดียวกัน
“แม่ไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
“แม่ไม่ว่าอะไรค่ะ แม่เกรงใจคุณฐาด้วยซ้ำที่มารับแล้วยังมาส่งอีก”
“อันที่จริงมันก็ไม่เรียกว่ามาส่งหรอกใช่ไหมล่ะเพราะยังไงผมก็ต้องเข้ามาในเมืองอยู่”
“ใช่ค่ะเนสนั่งรถมาอีกคนหนึ่งคงไม่เปลืองน้ำมันไปเท่าไหร่หรอกใช่ไหมคะ”
“ก็คงงั้น” เขาพูดแล้วยิ้มที่มุมปาก
“งั้นถ้าเนสติดรถไปบ่อยๆ ก็คงไม่เป็นไรนะคะ” หญิงสาวคิดว่าถ้าเขาไม่ว่าอะไรก็ควงติดรถเขาไปที่ไร่บ่อยๆ
“อย่าลืมบอกทางผมด้วยนะเนส” เขาชะลอความเร็วลงเมื่อรถเข้ามาในตัวเมือง
“คุณฐาขับตรงไปพอให้ถึงแยกไฟแดงข้างหน้าแล้วก็เลี้ยวซ้ายไปอีกไม่กี่เมตรก็ถึงร้านแล้วค่ะ”
ชายหนุ่มขับรถไปตามที่หญิงสาวบอกไม่นานเขาก็มาจอดอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งเป็นร้านเล็กๆ ที่มีโต๊ะอีกเพียงไม่กี่โต๊ะ
ฐากูรไม่คิดว่าลูกสาวเจ้าของร้านอาหารอิตาเลี่ยนอย่างเนสิตาจะรู้จักร้านแบบนี้ด้วย
“แน่ใจนะว่าเคยมากินร้านนี้”
“แน่ใจสิคะ เนสขี่มอเตอร์ไซค์มาซื้อกับพี่มาลีอยู่หลายครั้งหรือบางวันเนสกับแม่ก็แวะซื้อไปกินกันที่บ้านค่ะเจ้านี้เขาอร่อยมาก คุณฐาะล่ะคะเคยมากินร้านนี้ไหม”
“ผมยังไม่เคยมานะ”
“กินแบบไหนคะเดี๋ยวเนสเดินไปสั่งให้”
“ให้ผมเอาหมี่ขาวน้ำตกรวมเนื้อพิเศษก็แล้วกันนะครับ”
หญิงสาวเดินไปสั่งก๋วยเตี๋ยวสำหรับตนเองและฐากูรก่อนจะกลับมานั่งซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มตักน้ำแข็งเตรียมไว้รอแล้วสองแก้ว
“เอาน้ำอะไรน้ำอัดลมหรือน้ำเปล่าล่ะ”
“เมื่อตอนกลางวันเนสกินชาเขียวไปแล้วหมดโควต้ากินน้ำตาลแล้วค่ะ ขอน้ำเปล่าดีกว่า”
“กลัวอ้วนขนาดต้องนับปริมาณน้ำตาลเลยเหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะเนสก็แค่กลัวว่าตามใจปากมากเกินไปแล้วพอเปิดเทอมจะใส่ชุดนักศึกษาไม่ได้”
“ตอนนี้เรียนอยู่ปีไหนแล้ว”
“ปีหนึ่งค่ะเปิดเทอมนี้ก็จะขึ้นปีสอง”
“เรียนคณะอะไรล่ะ”
“บริหารธุรกิจและการบัญชีค่ะตอนที่เลือกเรียนคณะนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมากแต่ตอนนี้เริ่มอยากจะเปลี่ยนคณะแล้วค่ะ”
“ทำไมเหรอหรือเรียนหนัก”
“ไม่ใช่หรอกค่ะแต่เนสไม่รู้ว่าจะเรียนบริหารธุรกิจไปทำไมในเมื่อเราไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โต”
“แต่มันก็นำมาใช้ในการบริหารร้านอาหารได้นะ”
“ไม่รู้สิคะบางทีเนสก็อยากจะเลิกเรียนแล้วมาช่วยแม่ที่ร้านมากกว่าไม่อยากเห็นแม่เหนื่อยค่ะ” เธอระบายความรู้สึกที่ไม่เคยบอกใครมาก่อนให้เขาฟัง
“ถ้ามองในมุมมองผู้ใหญ่ผมว่าคุณเรียนต่อให้จบที่นี่ประเทศไทยอย่างน้อยการเรียนจบปริญญาตรีมันก็เป็นเหมือนใบเบิกทางให้เราสมัครทำงานที่บริษัทไหนก็ได้ ผมว่าแม่คุณก็คงอยากให้คุณเรียนมากกว่าออกมาช่วยทำงาน”
“แม่ก็เคยพูดแบบนั้น ถ้างั้นเนสเรียนจบแล้วมาสมัครงานที่ไร่คุณฐาได้ไหมจะได้ทำงานใกล้บ้าน”
“ถ้าถามตอนนี้คงตอบว่าไม่ แต่ถ้าถึงเวลาที่เรียนจบแล้วที่ไร่มีตำแหน่งว่างก็ไปสมัครได้ผมไม่กีดกันหรอก”
“คุณถ้ารับปากไว้แล้วนะคะ ว่าจะรับเนสเข้าทำงาน”
“ใจเย็นนะเนสผมยังไม่ได้รับปากเลยว่าจะรับเข้าทำงานผมแค่บอกว่าถ้าถึงตอนนั้นแล้วมีตำแหน่งว่างอย่าเพิ่งทึกทักเอาเองสิ” เขารู้สึกขำกับสิ่งที่เธอพูด
“ไม่รู้สิคะถึงตอนนั้นแล้วเนสจะให้น้าพลไล่ใครสักคนออกแล้วเนสจะไปทำงานแทน”
“ผมคิดว่าคุณคงไม่กล้าทำแบบนั้นหรอกจริงไหมล่ะ” เขาพูดแล้วหัวเราะในลำคอ
ทั้งสองหยุดคุยเมื่อก๋วยเตี๋ยวสองชามมาวางตรงหน้า
“อร่อยไหมคะ”
“อร่อยนะไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวรสชาติแบบนี้นานแล้ว สงสัยคงต้องกินบ่อยขึ้น”
“ไม่ได้นะคะ” เนสิตารีบห้าม
“ก็ถ้าคุณมากินร้านนี้บ่อยๆ แล้วร้านเนสล่ะคะ”
“มันเหมือนกันสักที่ไหนล่ะคงไม่มีใครกินก๋วยเตี๋ยวไปตลอดหรอกนะ”
ทั้งสองนั่งทานก๋วยเตี๋ยวจนอิ่มแล้วเนสิตาก็อาสาจะเป็นคนจ่ายเงินเขาพยายามปฏิเสธแต่สุดท้ายก็แพ้จึงยอมให้เธอเป็นคนเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว
“คุณฐาคะตรงโน้นมีร้านน้ำเต้าหู้ด้วยค่ะ เราไปกินกันไหม”
“ยังไม่อิ่มเหรอ”
“ก็นี่มันของคาวนี่คะ เนสอยากกินของหวานร้านนั้นมีขนมปังสังขยาค่ะ ไปกินเป็นเพื่อนเนสหน่อยนะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินตามหญิงสาวไปอย่างร้านน้ำเต้าหู้ที่อยู่ถัดออกไป
หญิงสาวสั่งขนมปังสังขยาสำหรับเธอและฐากูรมาหนึ่งชุดจากนั้นก็สั่งใส่ถุงกลับบ้านอีกสี่ชุดรวมถึงน้ำเต้าหู้อีกหลายถุง
“คุณฐาจะเอากลับไปกินที่ไร่ไหม”
“ไม่เป็นไรครับ”
หลังจากทานขนมปังสังขยาแล้วฐากูรก็ขับรถมาส่งเธอที่ร้านซึ่งตอนนี้ลูกค้าค่อนข้างเยอะเขาจึงไม่ได้เข้าไปด้านใน
“ขอบคุณมากนะคะคุณฐาเอาไว้ถ้าคุณฐามาที่ร้านอีกเมื่อไหร่เนสจะทำอาหารให้ทานนะคะ หวังว่าคุณจะมาเร็วๆ”
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ วันนี้ขอกลับก่อน”
“ขับรถดีๆ นะคะบ๊ายบายค่ะ” หญิงสาวโบกมือให้เขาแล้วยิ้มกว้าง
ฐากูรขับรถออกมาด้วยความรู้สึกแปลกใจกับการกระทำของตนเองวันนี้มากปกติเขาไม่เคยคุยกับใครมากเท่ากับเนสิตามาก่อนเลย