บทนำ 2

1763 Words
ดวงตากลมโตหลุบมองมือที่ประสานกันอยู่หน้าตักทันที หลังจากได้ยินคำถามที่มีผลต่อความรู้สึก สุพรรณวดีนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นไปมองคู่สนทนา เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นความอ่อนไหวในแววตาที่กำลังฉายออกมาอย่างชัดเจน ทว่าไม่นานเธอก็พยักหน้าลงและตอบคำถามออกไปเบา ๆ “ได้เห็นนิดหน่อยค่ะ” “เห็นนิดหน่อยนี่คือยังไง ?” ความอยากรู้ทำให้มัลลิกาถามต่อ พร้อมเอียงคอเล็กน้อย “ก็ได้เห็นบ้าง…” คำตอบที่ไม่ชัดเจนนั้นยิ่งทำให้สาวใหญ่งงหนักยิ่งกว่าเดิม จนต้องถามออกไปอีกครั้ง “หมายถึงแค่เห็นเฉย ๆ เหรอ หรือยังไง พี่ไม่เข้าใจ ได้พูดคุยหรือได้ใช้เวลาร่วมกันบ้างไหม” สุพรรณวดีส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะกลืนน้ำลายหนืด ๆ ลงคอ สายตาเหม่อมองมือตัวเองที่ยังประสานกันอยู่หน้าตัก พลางนึกถึงใบหน้าของลูกชายวัยเจ็ดขวบที่เธออุ้มท้องมาเก้าเดือน ทว่ากลับมีโอกาสเลี้ยงดูแกแค่ตอนแรกเกิดเพียงสามเดือนเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเป็นสามเดือนที่เต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรคมากมายอีกด้วย “สักครั้งก็ไม่เคยเลยเหรอ” มัลลิกาถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง เพราะหล่อนทำงานกับสุพรรณวดีมานานถึงสามปีและกำลังจะเข้าปีที่สี่ หล่อนเห็นหญิงสาวเก็บเงินเพื่อบินไปหาลูกที่ประเทศฝรั่งเศสทุกปี บางปีถ้ามีเงินเก็บมากหน่อยก็บินไปหาถึงสองรอบ ถึงจะพอรู้ว่าสุพรรณวดีกับอดีตสามีไม่ได้ติดต่อกันแล้ว แต่หล่อนก็คิดว่าที่รุ่นน้องสาวบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงนู้น ก็คงจะได้เจอหรือไม่ก็ได้พูดคุยกับลูกบ้าง “เขาไม่ให้เจอเหรอ” มัลลิกาถามต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “เอ่อ...พี่หมายถึงพ่อของลูกเอยน่ะ” “เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอยไป” สุพรรณวดีตอบก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปฝืนยิ้มให้รุ่นพี่สาว “ทำไมล่ะ พี่จำได้ เอยเคยเล่าให้ฟังว่าเอยกับพ่อของลูกจบกันด้วยดีนี่นา คุยกันเรื่องลูกแล้วด้วย แล้วทำไมเขาถึงกีดกันเอยเรื่องลูกล่ะ” นั่นสิ เป็นเรื่องที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ จนถึงตอนนี้เธอยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมมันถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ ทั้งที่ก่อนจะแยกทางกัน เขาเป็นคนพูดออกมาเองว่าเธอสามารถไปหาลูกได้ตลอด “เอยก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่เอยไปก็เพราะว่าเอยอยากไปเห็นหน้าลูก แค่เห็นเฉย ๆ เอยก็ดีใจมากแล้วค่ะ” เธอยิ้มให้มัลลิกาอีกครั้ง แล้วมีหรือที่อีกฝ่ายจะดูไม่ออกว่าเป็นรอยยิ้มที่ฝืนมากเพียงไร เธอพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกตัวเอง “พี่เข้าใจนะว่าแค่เห็นหน้าก็ดีใจแล้ว แต่อย่างน้อย ๆ เอยก็ควรได้เจอ ได้อยู่กับลูก แบบนี้ก็หมายความว่าเอยไปเสียเที่ยวน่ะสิ ค่าตั๋วเครื่องบินไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะ ไหนจะค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเดินทางในประเทศอีก” ไม่ใช่ว่าสุพรรณวดีไม่เคยคิดเรื่องนี้ การเดินทางไปหาลูกแต่ละครั้งเธอต้องใช้เวลาเก็บเงินนานถึงหนึ่งปี เพราะค่าตั๋วเครื่องบินและค่าครองชีพที่สูงของประเทศแถบยุโรปไม่ใช่ราคาที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเธอจะสามารถจ่ายได้โดยไม่คิดอะไร ทุกครั้งที่เธอมีโอกาสได้บินไป เธอก็หวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าจะได้เจอและได้กอดลูกสักครั้ง ทว่าตลอดสามปีที่ผ่านมาเธอกลับไม่เคยได้รับโอกาสได้นั้นเลย “เขาน่าจะยุ่ง เอยเลยไม่กล้าไปรบกวน” สุพรรณวดีตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ อันที่จริงเธอไม่รู้หรอกว่าพ่อของลูกจะยุ่งหรือไม่ในช่วงเวลาที่เธอไป เพราะเธอไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย เขาเป็นคนที่ไม่ติดโซเชียล ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้บ่อยที่สุดก็คงจะเป็นอีเมลซึ่งใช้เกี่ยวกับงานเท่านั้น ส่วนถ้าใครมีเรื่องด่วนจริง ๆ ก็จะติดต่อผ่านเบอร์มือถือ ซึ่งพอย้ายไปอยู่ที่โน่น เขาก็จะเปลี่ยนไปใช้อีกเบอร์...ซึ่งเธอไม่มี ติดต่อผ่านอีเมลบริษัทก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับมาสักครั้ง ครั้นพอได้ลองคิดอีกแง่ ว่าอาจจะไม่ใช่เพราะเขาไม่เล่นโซเชียล ทว่าเป็นเพราะเขาไม่ยอมรับการติดต่อจากเธอ ก็ทำให้เธอไม่กล้าติดต่อเขาไปอีกในช่วงปีหลัง ๆ และถึงเธอจะติดต่อเพื่อขอเจอลูก เขาก็คงไม่ให้เจอง่าย ๆ เพราะเขาคงเกลียดเธอไปแล้ว ถ้าเขาอยากให้เจอ เขาก็คงไม่เลือกพาลูกไปอยู่ไกลจากเธอขนาดนั้น “เอย พี่ว่าแบบนี้มันไม่ใช่แล้วนะ คือเอยเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปตั้งไกล ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ต้องเคลียร์เวลาให้สิ” สาวใหญ่พูดใส่อารมณ์นิด ๆ อย่างลืมตัว ทว่าครู่ต่อมาก็นึกได้ว่าสุพรรวณดีกับอดีตสามีอาจจะมีปัญหาที่ทำให้มองหน้ากันไม่ติดมากกว่าที่ตนรู้ สาวใหญ่จึงรีบควบคุมอารมณ์ บอกตัวเองให้ใจเย็นลง แล้วยื่นมือออกไปจับมือบางที่ยังประสานกันอยู่บนหน้าตัก ก่อนจะบีบเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “เอาเถอะ ยังไงพี่ก็เป็นกำลังใจให้เอยนะ เอยยังมีพี่อยู่ข้าง ๆ ตรงนี้ ถ้าเอยมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ เอยมาปรึกษาพี่ได้ตลอด” สุพรรณวดียกมืออีกข้างไปวางทับมือรุ่นพี่สาวที่วางทับมือตนอยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปยิ้มให้ด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณพี่มะลิมาก ๆ เลยนะคะ ใจดีกับเอยตลอดเลย” “ก็มีกันอยู่แค่นี้นี่ ถ้าไม่รักกันไว้แล้วจะให้ไปรักใคร ให้พี่ไปอยู่กับแก๊งนั้นพี่อยู่ไม่ได้หรอก วัน ๆ เอาแต่จับกลุ่มเมาท์ แล้วก็อวดของแบรนด์เนม ขืนพี่เข้าไปรวมแก๊งมีหวังหมดตัวกันพอดี ลูกผัวไม่ต้องกินแล้วข้าว กินกระเป๋า กินรองเท้าแบรนด์เนมแทน แล้วอีกเรื่องนะ พี่ละหมั่นไส้สุด ๆ ตอนพวกนางประจบประแจงผู้ปกครองของเด็ก แล้วก็ส่งสายตาอ่อยคนนั้นคนนี้ไปทั่วน่ะ พี่บอกเลยนะ ฟิวส์ยังมาบ่นกับพี่เลยว่ากลัวพวกนาง” มัลลิกาว่าด้วยความรู้สึกอคติ หากก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก ส่วน ‘ฟิวส์’ ที่เอ่ยถึงคือหนึ่งในครูต่างชาติที่สอนประจำอยู่โรงเรียนแห่งนี้ ส่วน ‘แก๊งนั้น’ ที่สาวใหญ่พูดถึงคือแก๊งครูสาวคนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งมีหน้าตาที่สะสวย บุคลิกดี โดดเด่น ทว่าชอบจับกลุ่มกันนินทาว่าร้ายและเหยียดคนที่ด้อยกว่า แต่แปลกที่พวกหล่อนมักได้รับความสนใจจากครูผู้ชายและผู้ปกครองของเด็กนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือบางคนก็มีภรรยาอยู่แล้วเป็นตัวเป็นตน “กลุ่มนั้นเป็นแก๊งสาวโสดนี่คะ จะส่งสายตาให้ใครก็ไม่แปลกหรอก” สุพรรณวดีเอ่ยกลั้วขำ เพื่อนร่วมงานในโรงเรียนนี้เธอไม่ได้มีอคติกับใครทั้งนั้น “ก็ไม่แปลก แต่พี่หมั่นไส้นี่นะ” สาวใหญ่ยู่ปากบ่นเซ็ง ๆ “เอยของพี่สวยกว่าตั้งเยอะ มีผู้ชายมาขายขนมจีบให้มากกว่าด้วย ทั้งบ๊อบบี้ ทั้งมาร์ค ไหนจะจอร์นอีก แต่พี่ไม่เห็นว่าเอยจะกระดี้กระด้าหรือแสดงอาการดีใจออกนอกหน้าเหมือนพวกนางเลย” “อ้าว ก็เอยไม่ได้ชอบนี่คะ” เธอไม่ปฏิเสธเรื่องที่มีคนเข้ามาจีบเยอะ ครูฝรั่งที่เข้ามาตีสนิทแบบเนียน ๆ เธอก็ดูออก แต่ประเด็นมันอยู่ที่เธอไม่ได้สนใจใครเลยต่างหาก เธอให้พวกเขาได้แค่มิตรภาพและความเป็นเพื่อนร่วมงานเท่านั้น “แต่ละคนที่เข้ามารวย ๆ ทั้งนั้นเลยนะ เหมือนมารับจ็อบเป็นครูเพื่อหาประสบการณ์กันเฉย ๆ บางคนพี่ยังเสียดายแทนเลย” “เอยยังไม่อยากมีใคร อีกอย่างเอยไม่เหมาะกับคนระดับนั้นหรอกค่ะ” “เอาอะไรมาไม่เหมาะจ้ะ เอยของพี่ออกจะแสนดีขนาดนี้ พี่ว่าเอยเปิดใจให้ใครสักคนเถอะ มีคนดี ๆ หลายคนเลยที่พร้อมจะดูแลเอย” “เช่นพี่ภพ น้องชายของพี่มะลิหรือเปล่าคะ” สุพรรณวดีเอ่ยยิ้ม ๆ อย่างรู้ทันสาวรุ่นพี่ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มัลลิกาหาโอกาสพรีเซ้นต์น้องชายของตนเองที่ยังโสดให้เธอ “พี่ว่าพี่เนียนแล้วนะ” “ไม่เนียนเลยนะ ชัดเจนมาก” มัลลิกาหัวเราะเขิน ๆ พลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ ครั้นเห็นว่าถึงเวลาที่ตนรบกวนเวลารุ่นน้องมามากพอแล้วจึงเอ่ยขอตัว หากก็ไม่ลืมที่จะฝากน้องชายตัวเองส่งท้าย “จะบ่ายแล้ว พี่ไปก่อน อย่าลืมนะเอย ถ้าเปิดใจเมื่อไร ช่วยรับน้องชายพี่ไปพิจารณาด้วย หล่อ รวย นิสัยดี สายเปย์ และที่สำคัญโสดมาก” “ไว้ถ้าเหงาเมื่อไร เดี๋ยวเอยติดต่อไปนะคะ” หญิงสาวตอบพร้อมขยิบตาส่งให้อย่างคนขี้เล่น ซึ่งรู้กันว่าเป็นแค่การหยอกล้อ ไม่ได้จริงจังอะไร พออีกฝ่ายเดินลับสายตาไปแล้ว สุพรรณวดีจึงถอนหายใจเบา ๆ ด้วยรู้สึกเหนื่อยอยู่ในใจ ไม่ได้เหนื่อยเพราะคุยกับมัลลิกาก่อนหน้านี้ หากเหนื่อยกับเรื่องที่ค้างคาและสิ่งที่เป็นอยู่ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรเพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้น สำหรับสุพรรณวดี ตอนนี้เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเลย เธอแค่อยากมีโอกาสได้เจอและได้กอดลูกของตัวเองสักครั้ง แต่ก็เหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากเสียเหลือเกิน เพราะเธอไม่สามารถติดต่ออดีตสามีหรือพ่อของลูกได้เลยสักช่องทาง เหมือนว่าเธอถูกครอบครัวนั้นปิดกั้นไปแล้วโดยสมบูรณ์แบบ และเขาคนนั้นก็คงจะเกลียดเธอมาก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD