ผมลืมตาขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด เมื่อได้ยินเสียงร้องหงิง ๆ ของไอ้สัสดังมาจากชั้นล่าง
แม่งเอ้ย!! เมื่อคืนผมหลอนได้ยินเสียงไอ้ศิวะทั้งคืน ตื่นมายังจะได้ยินเสียงน่ารำคาญของไอ้สัสอีก นี่มันเวรกรรมอะไรของกูวะเนี่ย!
ผมสะบัดผ้าห่มที่คลุมตัวออกก่อนจะเดินโซเซราวกับคนไร้วิญญาณไปยังห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อสังเกตเห็นอะไรแว๊บ ๆ ที่หางตา
‘อรุนสวัสดิ์’
“เชี่ยยย!! ใครมาเขียนอะไรใส่กระดานห้องกูวะ”
ผมเบิกตาโพลง หันซ้ายแลขวากวาดสายตามองหาเจ้าของลายมือบนกระดาน แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว
ผมเดินตรงเข้าไปหน้ากระดานพร้อมกับสำรวจอย่างพิจารณา
ห้องของผม ไม่เคยมีใครเข้าออกได้ตามอำเภอใจยกเว้นผมแค่คนเดียว
แต่เอ๊ะ!! ก่อนหน้านี้ก็มีไอ้ศิวะเข้ามาได้นี่หว่า แถมเมื่อคืนผมยังหูแว่วได้ยินเสียงมันดังอยู่ในฝันอีก
พอเริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้ผมก็พอนึกภาพออกว่าข้อความนี้มาโผล่บนกระดานห้องผมได้ยังไง
มึงนี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ เข้าออกห้องกูเป็นว่าเล่น เห็นห้องกูเป็นสวนสาธารณะรึไงวะ ไอ้เวรนี่!!
ผมอาบน้ำแต่งตัวพอลวก ๆ ก่อนจะเดินลงมาชั้นล่าง เห็นพวกไอ้บอมกำลังป้อนนมให้ไอ้สัสอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เอ้าลูกพี่ ทำไมวันนี้ตื่นเร็วจัง”
เสียงไอ้เข้มเอ่ยทักขณะที่กำลังใช้เข็มเย็บผ้าอะไรซักอย่างในมือ
“เสียงหงิง ๆ ตั้งแต่ตีหน้า กูคงหลับลงมั้ง”
ผมพูดไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินเข้าไปจับไอ้สัสขึ้นมาถือไว้ในมือขณะที่มันกำลังกินนมที่ไอ้บอมป้อนอย่างสบายใจเฉิบ
“แล้วมึงเป็นเหี้ยไรไอ้สัส ร้องหงิง ๆ หาพ่อมึงหรอ”
ผมตะคอกเสียงดันลั่นจนมันสะดุ้ง
“เอ๋ง ๆ ๆ”
“ไอ้ฉิบหาย! พูดแค่นี้ก็ร้องไห้หรอวะ”
ผมเขย่าตัวมันแรงขึ้นหวังให้มันหยุดร้องแต่มันกลับแหกปากดังลั่นกว่าเดิม
“ลูกพี่ ใจเย็น ๆ เดี๋ยวมันก็ตายหรอก”
ไอ้เข้มเห็นอย่างนั้นก็รีบปรี่เข้ามาแย่งไอ้สัสออกไปจากมือผมเข้าไปโอ๋ปลอบใจในอ้อมกอด
“แล้วนี่กับข้าวเสร็จยัง กูหิวจนตาลายละ” ผมพูดอย่างหัวเสีย
“เสร็จแล้วครับ เห้ยไอ้บูม ตั้งโต๊ะเลย ลูกพี่หิวแล้ว”
ประโยคแรกมันหันมาพูดกับผม ส่วนประโยคหลังหันไปบอกไอ้บูมพ่อครัวประจำบ้าน
“มึงทำไรวะ ทำไมมึงไม่ไปช่วยมันทำ”
ผมลากเก้าอี้มานั่งไขว่ห้างที่หัวโต๊ะ ก่อนที่ไอ้บูมจะทยอยเอาอาหารมาวางเรียงอยู่ด้านหน้า
“ผมทำชุดให้ไอ้สัสน่ะลูกพี่ นี่! สวยมั้ย”
มันชูเสื้อตัวเล็กสีแดงแปร๊ดขึ้นมาให้ผมดูด้วยท่าทางภูมิใจสุดฤทธิ์
“ไร้สาระ!”
ผมส่ายหัวด้วยความเอือมระอา ก่อนจะตักข้าวใส่ปาก
สักพักพวกลูกน้องทั้งหลายก็ต่างทยอยกันมานั่งกินข้าวจนเต็มโต๊ะอาหาร
“เอ้อ!! มาพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้ก็ดีละ กูจะได้ถามทีเดียวเลย”
อยู่ ๆ ไอ้บอมก็เอ่ยขึ้นกลางวงอาหาร
“ใครเอาเก้าอี้หน้าบ้านไปไว้หลังบ้านวะ กูเห็นหลายรอบละ ลำบากกูไปยกกลับมาไว้ที่เดิมตลอดเลย”
มันพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ทุกคนบนโต๊ะต่างส่ายหน้าพัลวันตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่รู้เรื่อง
ไม่มีใครยอมรับออกมาซักคน ผมเองก็นั่งดูเหตุการณ์เงียบ ๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เก้าอี้หน้าบ้านไปอยู่หลังบ้านงั้นหรอ หลังบ้านก็น่าจะตรงกับหน้าต่างห้องผมพอดี หรือว่า…
“ไม่มีใครรับสารภาพใช่มั้ย งั้นต่อไปนี้กูจะไปส่องดูทุกวัน ดูซิว่าไอ้หน้าไหนมัน…”
“กูเอง”
ผมโพล่งขึ้นมาจนทุกคนบนโต๊ะชะงักมือที่กำลังตักอาหาร
แกร๊ง!!
ไอ้บอมมือไม้อ่อนทำช้อนตกใส่จานจนเศษข้าวกระเด็นกระดอนไปทั่วบริเวณ
“แฮะ ๆ แล้วลูกพี่เอาไปทำไมอะ”
มันเอ่ยถามแก้เขิน
“กู…เอาไว้นั่งสูบบุหรี่ นั่งอยู่หลังบ้านมันได้บรรยากาศดี”
ผมตอบพร้อมกับก้มลงกินข้าวต่อ กลัวว่าจะเผลอไปสบตามันเข้าแล้วมันจะจับพิรุธได้
“อ๋ออ~” มันพยักหน้ารับรู้
“กินข้าวเสร็จกูฝากมึงไปซื้อเก้าอี้หน้าบ้านใหม่ด้วยนะ ส่วนตัวนั้นก็เอาไปไว้ที่เดิมนั่นแหละ”
“ได้พี่” ไอ้บอมรีบตอบรับ
“แล้ววันนี้ลูกพี่จะเข้าไปเก็บค่าเช่าแผงรึเปล่า”
ไอ้เข้มเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง
“น่าจะไปช่วงสาย ๆ วันนี้ตื่นเช้ากูว่าจะแวะไปหาแม่ซักหน่อย อย่าลืมไปสั่งดอกกุหลาบขาวให้กูล่ะ”
ผมหันไปกำชับ
“ได้พี่”
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมกับลูกน้องสามสี่คนก็เข้ามาที่วัด พอมาถึงผมก็แยกออกมาไหว้แม่ที่หลังวัด ส่วนพวกลูกน้อง ผมก็สั่งให้พวกมันไปกวาดใบไม้และขึ้นไปทำความสะอาดบนศาลารอ
ผมเดินถือดอกกุหลาบสีขาวเดินเข้ามาหาแม่ที่จุดเดิม แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อหน้าเจดีย์กระดูกของแม่ผมมีช่อดอกกุหลาบสีขาววางอยู่ก่อนแล้ว และไม่ได้มีเพียงแค่ช่อเดียวเท่านั้น แต่มันมีมากถึงหกช่อ และมีอยู่ช่อหนึ่งที่กลีบกุหลาบยังดูสดอยู่เลย ราวกับว่ามันเพิ่งถูกนำมาวางตรงนี้ได้ ไม่นาน
“ไอ้ฟิล มานี่ดิ”
ผมกวักมือเรียกไอ้ฟิลเด็กวัดที่กำลังนั่งขัดกะลามะพร้าวอยู่ให้เข้ามาหา
“ว่าไงพี่อัถ”
“มึงเห็นใครเอาดอกไม้มาไหว้แม่กูรึเปล่า”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
มันนิ่งไปซักพัก พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาเคาะขมับตัวเองราวกับกำลัง จะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“อ๋อออ~”
ไอ้ตัวเล็กตาโตลากเสียงยาวเหยียด
“คนที่มาไหว้แม่พี่ก็พี่ผู้ชายคนนั้นไง ที่ใส่ชุดสีดำเท่ ๆ อะ คนที่สูง ๆ หล่อ ๆ ที่มางานประจำหมู่บ้านของเราวันนั้นไง ชื่ออะไรน้าา~”
มันเอานิ้วชี้เคาะขมับตัวเองอีกรอบพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิด
“พี่ศิ.. ศิ.. ศิอะไรว้าา”
“ศิวะ”
“เอ้อใช่!! พี่ศิวะ” มันว่าพร้อมกับยิ้มแฉ่ง
ไอ้ศิวะงั้นหรอ มันมาไหว้แม่ผมทำไมกัน?
“แล้วมันมาบ่อยหรอ กูเห็นหลายช่อ”
“มาทุกวันเลยพี่ ตั้งแต่วันงานโน่นแหละ ถ้ามันล้นเมื่อไหร่ผมก็เก็บออก เดี๋ยวพี่มาไหว้จะไม่มีที่วาง”
ตั้งแต่วันงานผมก็ไม่มีเวลาเข้ามาหาแม่อีก จึงไม่รู้ว่ามันเข้ามาหาแม่ผมทุกวัน
แล้วมันจะมาไหว้แม่ผมทำไมวะ แถมเอาดอกกุหลาบขาวมาไหว้อีก ขนาดดอกเดียวผมยังต้องพลิกแผ่นดินหา นี่มันหอบมาเป็นช่อ มันไปเอามาจากไหนเยอะแยะวะเนี่ย!
หลังจากไหว้แม่เสร็จ ผมก็ไปเก็บค่าเช่าแผงที่ตลาดต่อ รู้มั้ยครับว่าทำไมแค่มาเก็บค่าเช่าแผงเฉย ๆ ผมถึงต้องหอบลูกน้องมาหลายคน เพราะพวกชาวบ้านส่วนใหญ่จะหอบของกินให้ผมเต็มไม้เต็มมือยังไงล่ะ ไปตลาดแต่ละทีไม่ได้เหมือนคนไปเก็บค่าเช่าแผงเลยสักนิด เพราะไม่เคยได้กำไรจากส่วนนี้ เนื่องจากผมคิดค่าเช่าโคตรจะแสนถูก บางคนที่ไม่มีเงินจริง ๆ ผมก็ให้ขายฟรีด้วยซ้ำ อย่างที่บอกล่ะครับ คนอื่นมองเข้ามาอาจจะมองว่าผมเป็นอันธพาล คงจะปกครองเมืองอย่างป่าเถื่อน แต่เปล่าเลย ผมกับชาวบ้านที่นี่อยู่กันอย่างครอบครัว มีอะไรเราก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอด
“เขาทำอะไรกันวะ”
ผมชี้มือไปที่โต๊ะขนาดใหญ่ที่วางเรียงหน้าตลาดสดโดยมีชาวบ้านห้อมล้อมไว้จนล้น
“เดี๋ยวผมไปดูเองลูกพี่”
ไอ้บอมเสนอก่อนจะรีบวิ่งแจ้นเข้าไปดูเหตุการณ์ มันแหวกวงล้อมของชาวบ้านเข้าไปได้ไม่นานก็วิ่งออกมาพร้อมกับถือถุงข้าวสารอาหารแห้งไว้ ในมือ
“ลูกพี่ พวกชาวบ้านเขามาเอาของแจกกันน่ะ ได้ยินว่าไอ้ศิวะมันสั่งลูกน้องเอามาแจกเต็มคันรถแหนะ”
มันว่าพร้อมกับยื่นถุงในมือให้ผม ในถุงนี้มีข้าวสารมาม่าปลากระป๋อง และของกินทั่วไป แต่ละอย่างมีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น
“เอาไงดีพี่ มันจะเอายาอะไรใส่ไปในข้าวสารให้ชาวบ้านกินรึเปล่า เราไปยึดมาเผาทิ้งเลยดีมั้ย”
ไอ้เข้มเสนอด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“หรืออย่างที่สองก็คือ นี่จะเป็นแผนล่อซื้อใจชาวบ้าน ไอ้นี่มันเหลี่ยมเยอะจะตาย”
ไอ้บอมเสนอขึ้นอีกคน
“ก่อนหน้านี้มันเคยตั้งโต๊ะแจกแบบนี้มั้ยวะ”
ผมเอ่ยถามไอ้บอมที่มันมักจะรู้เรื่องทุกอย่างบนโลกใบนี้
“ถ้าอยู่ในเขตแดนที่มันปกครองมันก็แจกตลอดนะพี่”
“มันทำอาชีพอะไรวะถึงได้มีเงินมากขนาดนั้น”
ผมเอ่ยถามอย่างสงสัย
“หลัก ๆ ก็ค้าอาวุธเถื่อนนี่ล่ะลูกพี่ นอกนั้นก็พวกบ่อนคนรวย สนามมวยใต้ดิน ได้ยินคนเขาลือกันว่ามันหากินกับคนรวยเอามาแจกคนจน อันนี้ไม่รู้ว่าจริงหรือว่าสร้างภาพกันแน่”
“ผมว่าสร้างภาพชัวร์”
ไอ้เข้มแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้ามั่นใจ
พวกผมยืนดูเหตุการณ์อยู่ซักพักก่อนจะเดินออกมาจากตลาด แต่แล้วผมก็ต้องชะงักฝีเท้า เพราะหูดันไปได้ยินประโยคคุยกันของแม่ลูกคู่หนึ่ง
“โอ้โหแม่! มีช็อกโกแลตด้วย”
เสียงเด็กผู้ชายตัวเล็กหน้าตาน่ารักหยิบขนมซองสีม่วงในถุงแจกยื่นให้แม่ดูด้วยท่าทางดีใจจนปิดไม่มิด
“แม่ชิมดูสิ มันว้านหวาน”
เด็กตัวเล็กเขย่งปลายเท้ายื่นขนมสีน้ำตาลใส่ปากให้ผู้เป็นแม่
เห็นอย่างนี้แล้วผมก็อดนึกถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ ตอนที่พ่อเสียใหม่ ๆ ผมกับแม่ลำบากมาก ช็อกโกแลตรสชาติเป็นยังไงผมยังไม่รู้เลย
“ลูกพี่ เป็นอะไรรึเปล่า”
ไอ้บอมเขย่าแขนถามผมด้วยความสงสัย ที่อยู่ ๆ ผมก็ยืนนิ่งไปชั่วขณะราวกับกำลังคิดอะไรในใจ
“คิดอะไรอยู่หรอลูกพี่”
ไอ้เข้มเอ่ยถามขึ้นมาอีกคน
“กูแค่กำลังคิดว่า… ต่อให้ไอ้ศิวะมันจะสร้างภาพเป็นคนดีจริง ๆ มันก็คงดีกว่าไม่ทำเหี้ยอะไรเลย เพราะอย่างน้อย มันก็ทำให้เด็กบางคนรู้จักรสชาติของช็อกโกแลต”
พูดจบผมก็เดินออกมา ปล่อยให้พวกลูกน้องยืนเกาหัวด้วยความงุนงง
แค่วันนี้วันเดียว ไอ้ศิวะก็ทำให้ผมเกิดคำถามเป็นร้อยขึ้นมาในหัวได้ ในสมองของผมตอนนี้มีแต่คำว่า ทำไม ๆ ๆ เต็มไปหมด มันคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ ตัวตนมันที่ผมรู้จัก นั่นคือเนื้อแท้ของมันจริง ๆ หรือเปล่า?
สรุปแล้วมึงเป็นคนยังไงกันแน่วะ ไอ้ศิวะ