เสียงสวดมนต์ดังกังวานทั่วบริเวณวัดผ่านไมค์ในมือของเจ้าอาวาส
ผู้คนต่างเดินขวักไขว่หาของกินเต็มลานวัด โดยมีพวกผมกางเต็นท์สำหรับทำโรงทานทั่วบริเวณ
เด็ก ๆ ต่างวิ่งเล่นไล่หยอกกันอย่างสนุกสนาน หิวเมื่อไหร่ก็แวะมายืนต่อแถวเอาของกิน ไม่ว่าจะเป็นขนมนมเนยข้าวปลาอาหารก๋วยเตี๋ยวน้ำดื่ม ทุกอย่างมีบริการอย่างเหลือเฟือ โดยมีลูกน้องของผมมาช่วยยืนแจกของและทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบ
วันนี้ที่หมู่บ้านจัดงานใหญ่ เป็นงานที่จะจัดขึ้นในทุกปี คือวันครบรอบการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวเรา เพราะฉะนั้นทุก ๆ ปีผมจะเป็นคนนำชาวบ้านมาทำบุญแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับในเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่สุดในอดีต และหนึ่งในผู้ล่วงลับในค่ำคืนวันนั้น ก็มีแม่ของผมด้วย
“พี่อัถ น้ำโค้กแก้วนึงพี่”
เสียงไปฟิลเด็กวัดตัวเท่าลูกหมาร้องบอก ขณะที่ยืนทำท่าเก๊กหล่อมาดเท่ แขนเสื้อทั้งสองข้างถลกขึ้นเผยให้เห็นรอยวาดของปากกาเป็นลายไทยรอบแขนข้างซ้ายเหมือนกับรอยสักของผมเป๊ะ ๆ อย่างกับถอดแบบมา
ผมคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบน้ำโค้กมาเทใส่แก้วตามที่มันร้องขอ
“พี่อัถ รับผมเป็นลูกน้องบ้างดิ ผมอยากจะเท่แบบพี่บ้าง”
แปะ!!
“โอ๊ยย!!”
ทันทีที่จบประโยคหัวมันก็โยกไปตามแรงตบของไอ้บอมทันที
ไอ้ตัวเล็กลูบหัวปรอย ๆ ด้วยความเจ็บ เมื่อโดนตบหัวอย่างจังจนเสียงดังลั่น
“ตัวเท่าลูกหมาริอาจจะเป็นนักเลงหรอวะไอ้ฟิล”
“ขนาดตัวไม่สำคัญหรอกพี่ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ขนาดของหัวใจ”
ไอ้ตัวเล็กกำมือแน่นพร้อมกับทุบไปที่หน้าอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น
“หึหึ ถ้ามึงอยากเป็นลูกน้องกูจริง ๆ ก็กลับไปตั้งใจเรียนหนังสือ ไว้มึงเรียนจบเมื่อไหร่ค่อยมาสมัครงานกับกูอีกที”
“จริงหรอพี่!”
มันตาลุกวาวเป็นลูกแก้ว แสดงความดีใจจนออกนอกหน้านอกตา
“เอ้านี่น้ำโค้ก” ผมยื่นแก้วให้มันก่อนมันจะยกมือไหว้ขอบคุณแล้วถือแก้ววิ่งไปโม้กับเพื่อน ๆ ว่าผมจะรับมันเป็นลูกน้อง ผมที่เห็นอย่างนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา
“ลูกพี่ ดูนั่น!”
ไอ้บอมสะกิดให้ผมมองดูผู้มาใหม่ที่เดินเด่นสง่าเข้ามาจากทางหน้าประตูวัด
“ไอ้ศิวะ!!” ผมตกใจไม่น้อยที่เจอมันที่นี่
มันเดินนำเข้ามาพร้อมกับลูกน้องประกบข้างอีกเกือบสิบคน
เล่นใหญ่จริงนะมึง!
“เอาไงลูกพี่ จัดพวกมันเลยมั้ย” ไอ้บอมวางทัพพีที่ตักน้ำซุปลงพร้อมกับถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมบวก
“ใจเย็นเว้ย นี่ในวัด แถมยังเป็นวันสำคัญของชาวบ้านอีก”
ผมรีบปราม ถึงผมจะเกลียดขี้หน้ามันแค่ไหน แต่ก็รู้กาลเทศะมากพอ
ไอ้ศิวะเดินเข้าไปยกมือสวัสดีทักทายชาวบ้านอย่างสนิทสนม มองมาจากดาวอังคารก็รู้ว่ามึงมันปลอม!
ไอ้ศิวะเดินทักทายชาวบ้านมาเรื่อย ๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่เบื้องหน้าผม
“ที่นี่แจกอะไรหรอครับ” มันถามพร้อมกับทำหน้ายียวน
“แจกตีนมั้งไอ้สัส!” ไอ้บอมตอบพร้อมกับวางทัพพีกระทบจานเสียงดังจนชาวบ้านเริ่มหันมามอง
“ไอ้บอม อย่า” ผมปรามมันด้วยเสียงแผ่วเบา
“ก็ตามที่เห็นนั่นล่ะ อยากกินอะไรก็สั่ง” ผมตอบกลับไปเสียงเรียบนิ่ง
“งั้นเอาน้ำอะไรก็ได้ ที่…ขาว ๆ ขุ่น ๆ หน่อย”
ไอ้บัดซบเอ้ย วนเอาเรื่องนี้มาใส่หัวกูอีกจนได้ เมื่อคืนกูยังไม่คิดบัญชีมึงเลยนะ
“ได้ รอแป๊บนึง”
ผมถือแก้วพลาสติกแล้วเดินไปตักน้ำแข็งที่ด้านหลังก่อนจะเหลือบไปเห็นน้ำส้มสายชูสำหรับใส่ก๋วยเตี๋ยววางอยู่ข้าง ๆ พลันในหัวก็คิดอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้
ผมบีบน้ำส้มสายชูใส่แก้วจนเกือบเต็มแล้วบีบนมข้นหวานผสมเข้ากันจนหน้าตามันคล้ายนมสด
“หึหึ เสร็จกู”
ผมแสยะยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก ก่อนจะเดินถือแก้วน้ำไปส่งให้มัน
“อะ นมสด” ผมยื่นแก้วไปตรงหน้าไอ้ศิวะ ก่อนที่มันจะยื่นมือเข้ามาจับแก้วในมือผมแล้วไม่วายใช้ปลายนิ้วชี้ลูบวนที่หลังมือผมอย่างจงใจ
นิด ๆ หน่อย ๆ มึงก็เอานะไอ้เวร
“กินดิ”
ผมส่งสายตาคะยั้นคะยอให้มันกิน หลังจากที่มันเอาแต่ยืนจ้องหน้าผมยิ้ม ๆ
มันค่อย ๆ ยกแก้วในมือขึ้นมาประกบปากก่อนจะหยุดชะงัก
“อะ ฉันให้” อยู่ ๆ มันก็เปลี่ยนใจกะทันหันส่งแก้วในมือให้ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“เอ่อ…ครับ”
ลูกน้องมันทำหน้าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แต่ก็ยอมถือแก้วไปดื่มอย่างเลี่ยงไม่ได้
พรวดดด!!!
ทันทีที่น้ำสีขาวไหลเข้าไปในปาก ลูกน้องของมันก็พ่นน้ำออกมาตามที่ผมคาดเอาไว้เป๊ะ
“ไอ้เหี้ย อยากตายมากหรอ!”
ไอ้เข้มที่โดนน้ำมนต์จากปากของไอ้หมอนี่เดือดพล่านทันที มันกระชากคอเสื้อไอ้หมอนี่เข้ามาประชิดตัวพร้อมกับง้างหมัดเตรียมซัดเต็มแรง แต่ก็ถูกไอ้บอมดึงตัวกลับมาได้ก่อน
“เสียใจด้วยนะ มุกตื้น ๆ ของมึงไม่ผ่านว่ะ”
มันแสยะยิ้มอย่างสะใจก่อนจะเดินเข้าไปในศาลาวัด ทิ้งให้ผมยืนกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นเต็มแขน
“ลูกพี่ สายแล้วนะ พี่เข้าไปไหว้แม่เถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการให้เอง” ไอ้บอมสะกิดบอก
ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินถือดอกกุหลาบสีขาว และกระทงดอกไม้จากใบตองตรงไปยังเจดีย์ใส่กระดูกที่ตั้งเรียงรายอยู่หลังวัด
ผู้คนที่เข้ามากราบไหว้ผู้ล่วงลับต่างทยอยกลับกันหมดแล้ว มีเพียงผมที่เดินสวนเข้าไปนั่งลงที่หน้าเจดีย์กระดูกของแม่
เจดีย์กระดูสีขาวตกแต่งลวดลายไทยเป็นทางยาวลวดลายเดียวกันกับเส้นรอบวงอ้อมแขนผม ผมสักลายนี้ตั้งแต่อายุ 17 เพื่อย้ำเตือนกับตัวเองว่าผมมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร
“แม่ครับ ผมเอาดอกกุหลาบสีขาวที่แม่ชอบมาฝาก กว่าจะได้มานะแม่ เลือดตาแทบกระเด็นแหนะ หายากมากกก กว่าจะได้นะ ผมต้องข้ามฟากไปซื้อไกล ๆ โน่นนน!!”
ผมคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะวางดอกกุหลาบสีขาวลงด้านหน้า
“ขนาดนั้นเลยหรอวะ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง ส่งผลให้ผมชะงักรอยยิ้มที่กำลังปรากฏอยู่บนใบหน้า
“เห้อออ!!” ผมถอนหายใจเฮือกใจก่อนจะยืนขึ้นปัดก้นสองสามทีแล้วหันไปเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่
“มึงตามกูมาทำไม”
“ใครตามมึง กูแค่มาเดินชมนกชมไม้”
ไอ้ศิวะทำทีเป็นชี้นกชี้ไม้ไปตามอากาศ
ผมพยายามไม่ใส่ใจเดินถือกระทงใบตองใส่ดอกไม้สองใบเดินไปที่ท่าน้ำข้างวัด
ผมเดินเข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนจะมาหยุดที่ศาลาริมท่าน้ำ ปกติจะมีเด็ก ๆ มาวิ่งเล่นกันที่นี่ แต่วันนี้ด้านในวัดมีของกินมากมาย เด็ก ๆ คงพากันเข้าไปเล่นด้านในกันหมดแล้ว
ผมเดินถือกระทงสองใบมานั่งยอง ๆ ที่ท่าน้ำ ก่อนจะถือมันไว้ในมือพร้อมกับจ้องมองอย่างเหม่อลอย
พลันภาพในหัวก็ปรากฏถึงเหตุการณ์ในอดีต
“แม่ครับทำอะไรหรอครับ”
“ส่งจดหมายหาพ่อไงจ๊ะ มานั่งนี่มา มาช่วยแม่ทำ”
ผู้หญิงผมยาวใบหน้าเรียวสวยตบแปะ ๆ ลงที่พื้น เรียกผมเข้าไปนั่งข้าง ๆ
“เวลาลูกคิดถึงพ่อ ก็ให้ทำแบบนี้นะแล้วเอาไปลอยที่ท่าน้ำ พ่อจะได้รู้ว่าเราส่งความคิดถึงไปหา”
“จริงหรอครับ”
เด็กน้อยไร้เดียงสาแววตาใสซื่อเบิกตากว้างด้วยความดีใจ
พอนึกถึงภาพในอดีตแล้วก็คิดถึงเป็นบ้า ป่านนี้พ่อกับแม่คงได้อยู่ด้วยกันแล้วสินะ
“ทำไรวะ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามก่อนจะหย่อนก้นลงมานั่งข้าง ๆ ผมอย่างไร้มารยาท
“นี่มึงจะตามกูทำไมนักหนาไอ้สัส!” ผมชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิด
“แล้วมึงล่ะ ตอบดี ๆ ดอกพิกุลจะล่วงจากปากรึไงวะ” มันพูดยอกย้อนอย่างลอยหน้าลอยตา
มึงก็ขยันหาเรื่องกูจังเลยนะไอ้ฉิบหาย เป็นบุญของมึงที่ตอนนี้ยังอยู่ในเขตวัดไม่งั้นมึงได้ปากแตกอีกรอบแน่
“ส่งจดหมาย”
ผมตอบส่ง ๆ รำคาญที่มันเอาแต่เซ้าซี้ไม่จบไม่สิ้น
“หมายถึงกระทงใบตองนี่หรอ ส่งไปไหนวะ”
มันขมวดคิ้วถามพร้อมกับจ้องมองดูกระทงใบตองในมือผมด้วยความสงสัย
“เออ ส่งไปหาคนอยู่บนฟ้า”
“คนบนฟ้า” มันขมวดคิ้วทวนคำตอบ
“อือ มึงเห็นตรงนั้นมั้ย”
ผมชี้นิ้วไปทางปลายสายน้ำที่ไกลสุดลูกหูลูกตาโดยมีแผ่นฟ้าเข้ามาบรรจบ
“แม่กูเคยบอกว่า ให้ลอยจดหมายความคิดถึงไปตามสายน้ำ แล้วพ่อจะลงมารอรับที่ตรงนั้น”
“แล้วทำไมทำมาสองอันวะ” มันถามด้วยความอยากรู้
“ทำให้แม่กูด้วย” ผมพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ
ไอ้ศิวะมันเงียบไปซักพักก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“เสียใจด้วยนะ”
หือ!! นี่ผมหูฝาดไปหรือเปล่า นึกว่ามันจะพูดประมาณว่า ไร้สาระ ไม่ก็เพ้อฝันอะไรทำนองนั้น
ผมพยักหน้าตอบรับก่อนจะวางกระทงสองใบลงน้ำ แล้วนั่งมองสายน้ำพัดพากระทงสองใบลอยคู่กันไป
“มึงสะกดรอยตามกูมาวัด มึงต้องการอะไร”
ผมถามเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้ตะคอกหรือใช้น้ำเสียงหงุดหงิดแต่อย่างใด เพราะรู้สึกจิตใจสงบลงไปบ้างเมื่อได้นั่งอยู่ท่ามกลางความสงบอยู่พักใหญ่ ๆ
“กูไม่ได้ตามมึงมา กูตั้งใจจะมาทำบุญวันพระ กูไม่รู้จริง ๆ ว่าที่นี่จัดงาน”
ตามที่มันพูดก็พอมีเค้าความจริงอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่คงไม่มีใครรู้ว่าทุก ๆ ปีจะมีงานที่วัดแห่งนี้
“แล้วนี่ประเพณีอะไรวะ กูเห็นดอกไม้เรียงเต็มกำแพงวัดเลย”
“ประเพณีไว้อาลัยให้ความเจ็บปวด” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งสายตาลอยเคว้งไปด้านหน้าด้วยความว่างเปล่า
“งานนี้จัดขึ้นแค่ที่พระนครใช่มั้ย กูไม่เคยเห็นที่อื่นจัดอะไรแบบนี้มาก่อน”
“อือ มีแค่คนที่นี่ที่รู้ดี ว่าวันนี้เมื่อ 20 ปีก่อน พวกเราเจ็บปวดมากแค่ไหน”
“เมื่อ 20 ปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่งั้นหรอ?”
ผมเงียบไปสักครู่ก่อนจะประมวลภาพในอดีต นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่ผมไม่ได้เอ่ยถึงมัน ภาพต่าง ๆ ในอดีตไหลย้อนกลับเข้ามาทำร้ายผมจนก้อนเนื้อด้านซ้ายกระตุกวูบด้วยความเจ็บ
“เมื่อก่อนที่นี่อยู่กันอย่างสันติ ตอนนั้นกูเพิ่ง 7 ขวบได้มั้ง ยุคนั้นปกครองกันด้วยระบบอันธพาล ใครยึดเมืองได้ คนนั้นก็เป็นใหญ่ เหตุการณ์มันเกิดจากคืนหนึ่ง พวกอันธพาลบุกเข้ามายึดย่านนี้อย่างป่าเถื่อน มันโหดเหี้ยมยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน!!” ผมกดเสียงต่ำพยายามซ่อนความเจ็บปวดไว้ในใจ รู้สึกใต้ตามันร้อนผ่าวเหมือนจะร้องไห้ออกมา
“มันฆ่าคนที่นี่อย่างทารุณ พวกผู้ชายโดนมันฆ่าตายหมด ส่วนผู้หญิงมันก็ข่มขืนแล้วฆ่า ไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังไร้เดียงสา!!”
ผมเสียงสั่นเครือ มือไม้เริ่มสั่นเทาด้วยความโกรธแค้น
“คืนนั้นแม่พากูไปซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า ในนั้นมืดสนิท แต่กลับได้ยินเสียงดังของปืนและระเบิดทั้งคืน และยิ่งไปกว่านั้นคือเสียงกรีดร้องของผู้คนที่บาดลึกไปถึงหัวใจ” สายตาผมวูบไหวไปชั่วขณะ แต่ก็พยายามกลืนเสียงสะอื้นลงลำคอก่อนจะพูดประโยคต่อไป
“รุ่งเช้าพอทุกอย่างเริ่มสงบ กูถึงออกมาจากตู้ มีเพียงผู้รอดชีวิตไม่กี่คนเดินขวักไขว่หาศพของญาติตัวเอง” ผมหยุดพูดไปซักพัก ดวงตาลอยเคว้งไปในอากาศ มันยากเหลือเกินที่จะต้องพูดถึงเรื่องเหี้ย ๆ นั่นอีก
“กูเดินตามหาแม่กูจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ มึงคิดดู เด็กเจ็ดขวบเดินร้องไห้ตั้งแต่ฟ้าสางจนฟ้ามืดอะ แล้วมึงรู้มั้ย กูไปเจอศพแม่กูในสภาพไหน”
ผมกัดริมฝีปากแน่น กลั้นน้ำตาไม่ให้เอ่อล้นออกมาก่อนจะพ่นลมออกมาเพื่อให้สมองได้ผ่อนคลายมากขึ้น
“ก็ตามที่กูเล่าไปนั่นแหละ หลังจากคืนนั้นกูก็รวบรวมพวกที่มีชีวิตรอดแล้วก็มีอุดมการณ์เหมือนกันกูเข้ามาฝึกอย่างหนัก พวกกูฝึกต่อสู้กันอยู่เป็นสิบปี กว่าจะกลับมาล้างแค้นพวกมันคืนได้ กูฆ่าล้างบางมันหมดทุกคนก่อนจะขึ้นมาเป็นใหญ่ในย่านนี้ มึงรู้มั้ย กูเกลียดพวกอันธพาลจะตายห่าแต่ทำไมถึงกลับมาทำแบบนั้นซะเอง” ผมเว้นวรรคให้มันคิดตามอยู่ครูหนึ่ง
“เพราะคนถือกฎหมายแม่งไม่เคยคุ้มครองเหี้ยอะไรเลยยังไงล่ะ กูถึงต้องมีอำนาจไว้ปราบพวกคนระยำชาติชั่ว”
“มิน่าล่ะ คนที่นี่ดูโคตรจะรักมึงเลย” มันตอบกลับมาพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจอะไรบางอย่าง
“เพราะอย่างงี้ใช่มั้ย มึงถึงไม่ยอมให้กูปกครองที่นี่”
“อือ รู้อย่างงี้มึงก็ถอยไปซะ กูไม่มีทางยกย่านนี้ให้ใครปกครองต่อ กูไม่ไว้ใจใครหน้าไหนทั้งนั้น”
มันเงียบไปซักพักก่อนจะทำหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“เป็นไปได้มั้ย ที่มึงจะเชื่อใจกู”
“ไอ้สัสเอ๊ย!! ที่กูพูดไปยาว ๆ นี่ไม่เข้าหูมึงเลยหรอวะ” ผมสบถคำหยาบด้วยความเอือมระอาที่คนอย่างมันเข้าใจอะไรยากเย็นขนาดนี้
“กูเข้าใจที่มึงจะสื่อนะ แต่กูก็มีเหตุผลที่ต้องปกครองที่นี่เหมือนกัน”
“เห้ย!! อะไรน่ะ!!”
ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจพร้อมกับชี้มือไปกลางแม่น้ำ
“ไหนวะ”
ตู้มมมมม!!!
ทันทีที่มันมองตามปลายนิ้วที่ผมชี้ ร่างของมันก็ล่วงลงไปลอยตุ๊บป่องอยู่ในแม่น้ำ
“ไอ้อัถ!! นี่มึงหลอกกูหรอ”
“ฮ่า ฮ่า สมน้ำหน้า”
ผมรีบวิ่งออกมาจากท่าน้ำโดยเร็ว แล้วไม่หันกลับไปมองมันอีก แต่ก็ยังได้ยินเสียงมันตะโกนไล่หลังด่าอยู่ไกล ๆ
“มึงเตรียมรับมือไว้ให้ดี ไอ้ชาติหมา!! กูเอาคืนมึงแน่ ไอ้ยินมั้ย ไอ้อัถ ไอ้เวรตรัยเอ๊ย!!!”