นริศตายืนน้ำตาคลอเบ้ามองกลุ่มควันที่ลอยขึ้นเหนือปล่องเมรุ ก่อนจะร่วงเผาะด้วยความรักอาลัย ความจริงแสนเจ็บปวด แต่ก็ต้องยอมรับว่าคุณปู่เอื้อได้จากเธอไปแล้วจริงๆ อย่างไม่มีวันหวนกลับ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ชีวิตของเธอจะดำเนินไปอย่างไร แต่ที่แน่ใจอย่างหนึ่งก็คือความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาระหว่างเธอกับหลานชายของท่านก็คงจะจบลงด้วยเช่นกัน
เธอก้มมองเอกสารในมือที่คนสนิทของคุณปู่ยื่นให้ก่อนจะจากไป พร้อมฝากฝังคำพูดผ่านเขามาบอกกับเธอว่า
“คุณท่านรู้ตัวว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน จึงมอบเงินจำนวนนี้ให้คุณครับ ถือเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากท่าน”
“ทำไมคุณปู่ต้องทำแบบนี้คะ” เธอมองเช็คในมืออย่างไม่ยินดียินร้าย ทั้งที่จำนวนเงินนั้นมากพอจะทำให้เธอสุขสบายไปตลอดชีวิต
“เพราะท่านเป็นห่วงคุณนาวครับ ท่านกลัวว่าหลังจากไปแล้วคุณปกจะหย่ากับคุณ เลยเตรียมการไว้ให้คุณ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องลำบาก คุณท่านรักและเอ็นดูคุณไม่ต่างหลานในไส้คนหนึ่ง ท่านอยากเห็นคุณอยู่อย่างมีความสุขครับ”
“คุณปู่...”
ในแววตาคู่นี้และหัวใจดวงนี้เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งตื้นตัน นริศตาฝืนยิ้มกว้างอย่างเต็มที่ ไม่อยากให้ท่านจากไปอย่างมีห่วง
“ขอบคุณนะคะคุณปู่ หนูสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี จะอยู่อย่างมีความสุข” พลางยกมือลูบหน้าท้องบอกกับท่านในใจด้วยความยินดีปรีดาว่า
‘คุณปู่กำลังจะมีเหลนแล้วนะคะ ดีใจมั้ยคะ หนูสัญญาว่าต่อไปจะพาแกมาเยี่ยมคุณทวดของแกบ่อยๆ’
“หลับให้สบายนะคะ ขอให้คุณปู่ไปสู่ภพภูมิที่ดี” นริศตาประนมมือไหว้ท่านหน้าเมรุด้วยความอ่อนน้อม มองท่านเป็นครั้งสุดท้าย อดคิดไม่ได้ว่าจนถึงตอนนี้อธิปกก็ยังไม่ปรากฎตัวให้เห็นแม้แต่เงา เธอไม่ควรคาดหวังอะไรจากเขาแล้วจริงๆ
หญิงสาวหักใจหันหลังเดินจากมาพลางเช็ดคราบน้ำตา แล้วก็พลันตกใจเมื่อคนที่คิดถึงอยู่เมื่อครู่มายืนอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ใจหายวูบเมื่อคิดถึงเรื่องที่เธอเพิ่งบอกกับคุณปู่เมื่อครู่ โชคดีเหลือเกินที่เธอแค่คิดไม่ได้เผลอพูดออกมาให้เขาได้ยิน
นริศตาใจเต้นตุ๊มๆ ต้อม ได้แต่ยิ้มแกนๆ อย่างกลบเกลื่อน พลางภาวนาว่าขออย่าให้อธิปกได้ยินหรือสงสัยอะไรเลย เธอพยายามหลบสายตาเขากลัวจะเผยพิรุธ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าในมือเขาถือช่อดอกราชาวดีสีขาวแซมม่วงเหมือนพวงหรีดไม่มีผิด แปลว่าคนที่ส่งมาก็คืออธิปกเองหรือ...
“คุณมาเมื่อไหร่คะ”
ชายหนุ่มร่างสูงผ่าเผยในชุดสูทไว้ทุกข์สีดำสนิททั้งตัว สีหน้าเรียบเฉยไม่ตอบคำถาม เขาละสายตาจากเธอมองไปยังหน้าเมรุพิธี แววตานิ่งขรึมเก็บซ่อนอารมณ์ไม่บ่งบอกความรู้สึก ก่อนจะก้าวขาถือช่อดอกไม้ขึ้นไปวางไว้ตรงหน้ารูปถ่ายคุณปู่เอื้อ ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็หันหลังกลับลงมาตรงที่เธอยืนอยู่ ยังคงเอ่ยเสียงเรียบว่า
“ไปเถอะ”
นริศตาเลิกคิ้ว เขามารับเธออย่างนั้นหรือ?
บอกตรงๆ ว่าแปลกใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าเขามาอารมณ์ไหน แต่เธอก็ยอมเดินตามไปโดยดี เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องสำคัญที่ค้างไว้เมื่อตอนเช้า ตอนนี้ถือเป็นโอกาสเหมาะพอดี รีบคุยรีบเคลียร์ตกลงกันให้เข้าใจ จะได้ไม่ยืดเยื้อกันทุกฝ่าย
ตลอดทางตกอยู่ในความเงียบ อธิปกนั่งหน้าขรึมมองตรงไปข้างหน้า ส่วนเธอก็นั่งบีบมือแน่น พยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว กระทั่งเหลือบเห็นว่าเส้นทางที่เขามุ่งไปนั้นไม่ใช่ทางกลับบ้านเหมือนอย่างเคย นริศตาจึงนิ่วหน้าเอ่ยถามเขาว่า
“เราจะไปไหนคะ”
“กินข้าว”
“แต่ฉันไม่หิว” หรือพูดให้ถูกคือเธอไม่อยากจะนั่งร่วมโต๊ะกับเขา เพราะคงกินอะไรไม่ลง ฝืดคอแย่!
“ต้องกิน! คุณยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่อยู่ในงานไม่ใช่เหรอ น้ำสักหยดก็ยังไม่ได้แตะ” ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปยังขวดน้ำดื่มที่วางอยู่ประตูฝั่งที่เธอนั่ง “ถ้าหิวก็ดื่มก่อนได้”
เขาเป็นห่วงเธอ?
นริศตาเบิกตาโต แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะมีวันหนึ่งที่ได้ยินอธิปกพูดราวกับห่วงใยกัน ก็เธอไม่ใช่อลิสานี่นา และก็ใช่ที่เธอเอาแต่วิ่งวุ่นคอยต้อนรับแขกเหรื่อและความเรียบร้อยภายในงานไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่เขาไม่ได้อยู่ในงานด้วยสักหน่อย
แล้วอธิปกรู้ได้ยังไง?
“ฉันจำได้ว่าคุณเพิ่งมา” เป็นการถามทางอ้อม
“คุณไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่อยู่”
นริศตาถึงบางอ้อ ถึงไม่พูดตรงๆ แต่ก็เข้าได้ว่าอธิปกคงมาถึงงานนานแล้ว แต่ไม่แสดงตัวให้ใครเห็น เขาคงต้องการใช้เวลาทำใจคนเดียวเงียบๆ ต้องการความเป็นส่วนตัวไม่ให้ใครมายุ่ง แม้กระทั่งเธอที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา
คิดแล้วก็น่าน้อยใจ แต่เธอไม่มีสิทธิ์โวยวาย ได้แต่ทำใจให้ ‘ชิน’ กับความเย็นชาและระยะห่างระหว่างเราที่นับวันไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย รู้ถึงสถานะความสำคัญของตัวเองแล้ว นริศตาก็นั่งนิ่งไม่ถามอะไรเขาอีก เลือกจะมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาล่องลอย
รถยนต์จอดหน้าภัตตาคารโอ่อ่ามีชื่อแห่งหนึ่ง ที่นี่มือชื่อเรื่องรสชาติอาหารไทยที่กลมกล่อมและวิวริมแม่น้ำที่งดงามยามพระอาทิตย์ตกดิน อธิปกพาเธอเดินไปยังห้องอาหารแบบส่วนตัว พอพนักงานเปิดประตูปุ๊บ นริศตาก็ชะงัก มองแขกที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะหันมายิ้มเยาะมองหน้าคนเป็นสามี
“นี่สินะ...เหตุผลที่คุณอุตส่าห์สละเวลาอันมีค่ามารับฉัน”