เพราะตอนนี้เป็นเวลาสายแล้ว เมื่อตกลงกันได้สองสาวจึงพากันไปยังห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองเพื่อที่จะไปหาอะไรกินที่นั่น พร้อมกับดูหนังเรื่องใหม่ที่เพิ่งเข้าฉายวันแรกในวันนี้พอดี เยว่ซินที่ไม่มีอะไรทำ จึงตามใจญาติของตัวเองทุกอย่าง
แต่เพราะเยว่ซินได้กินอะไรไปบ้างแล้วในตอนเช้า เธอจึงยังไม่หิว สองสาวตกลงตัดสินใจตีตั๋วหนังรอบแรกตามความต้องการของรวิสรา กว่าจะออกจากโรงหนังสองสาวก็หิวพอดี
ทั้งสองตรงดิ่งไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังแห่งหนึ่ง ไม่นานอาหารที่สั่งเก็ยกมาเสิร์พเรียงรายเต็มโต๊ะ รวิสราหลับตาพริ้มในตอนที่ลิ้มรสชาติอย่างมีความสุขเพราะอยากกินมาหลายวันแล้ว
“เธอเรียนจบแล้วใช่ไหมหนูเล็ก” เยว่ซินเริ่มชวนคุย หลังจากที่อาหารของเธอถูกจัดการไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“อือ เหลือแค่รอรับปริญญาน่ะ” หนูเล็กหรือรวิสราตอบ ขณะที่เริ่มใช้ตะเกียบจิ้มเนื้อปลาซาบะตรงหน้าใส่ปากเคี้ยว
“แล้วนี่คิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ”
“ยังไม่คิดหรอก” รวิสราตอบอย่างรวดเร็ว “อยากอยู่นิ่งๆ ยังไม่อยากทำงานเลย จริงๆ ก็คิดๆ ไว้นั่นแหละว่าอยากเรียนต่อนะ แต่อาจจะเป็นปีหน้าไง”
หญิงสาวตอบคำถามของญาติผู้น้อง ซึ่งเยว่ซินก็พยักหน้าหงึกๆ ตอบรับ
“งั้นแสดงว่าช่วงนี้ก็ว่างน่ะสิ”
“อื้อ” รวิสราผงกศีรษะรับ “ก็ว่างนะ ทำไมเหรอ”
“ได้ยินเมื่อเช้าน้าสาบ่นว่าเธอเอาแต่นอนขี้เกียจไม่ยอมไปทำงาน?” เยว่ซินถาม เมื่อเช้าเธอได้ยินที่สองแม่ลูกพูดคุยกัน แต่ไม่อยากเข้าไปแทรก จึงรอให้ทั้งคู่คุยกันจบถึงเดินเข้าไป
“อือ น่าเบื่อมากเลยล่ะ บางทีแม่ก็บ่นมากเกินไป”
รวิสราบ่นอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่นัก ก่อนจะคีบอาหารเข้าปากอีกครั้ง
“งั้นเอางี้สิ ถ้าเธอเบื่อเสียงบ่น ก็ไปอยู่กับฉันก่อนสักเดือน หรือจะทำเรื่องเรียนต่อภาษาที่นั่นเอาไหม ยังไงเธอก็เรียนเอกภาษาจีน ปรับตัวกับที่นู่นได้สบายอยู่แล้ว”
ข้อเสนอของเยว่ซินทำให้รวิสราถึงกับเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นประกาย
นั่นสิ! ทำไมเธอถึงคิดไม่ออกตั้งแต่แรกนะ ไปอยู่กับป้าจันทร์และเยว่ซินที่ฮ่องกง นอกจากหนีคำบ่นจากแม่ได้แล้ว บางทีเธออาจหาลู่ทางเรียนต่อที่นั่นก็ได้ ถึงแม้คนฮ่องกงส่วนใหญ่จะยังพูดภาษาจีนกวางตุ้งอยู่ แต่ปัจจุบันได้มีการใช้ภาษาจีนกลางกันมากขึ้นแล้ว เธออยู่รอดได้สบายอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาเลย
รวิสราคิดสะระตะอยู่ในหัว ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา และเมื่อเยว่ซินมองรอยยิ้มนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าลูกพี่ลูกน้องของตนเองตัดสินใจอย่างไร
หลังกินเสร็จสองสาวก็ตกลงใจกันว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเป็นสถานที่ที่เยว่ซินอยากไปเนื่องจากเจ้าหล่อนติดใจพวกของตกแต่งบ้านหรือของทำมือที่นั่น สองสาวจึงฝ่าแดดร้อนในยามบ่ายตรงดิ่งไปยังตลาดนัดจตุจักรในทันที
หลังจากไปถึงสองสาวเลือกซื้อของกันไปได้เยอะพอสมควร อันที่จริงล้วนแต่เป็นของของเยว่ซินทั้งนั้น เนื่องจากเยว่ซินเรียนด้านการออกแบบจึงชอบซื้อของตกแต่งแปลกๆ กลับไปฮ่องกงด้วยทุกครั้ง
โชคดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อนมาก สองสาวจึงทนช้อปกันได้นานหลายชั่วโมง ผิวขาวๆ ของทั้งคู่ก็แดงก่ำเพราะถูกบ่มด้วยแดดยามบ่าย มิหนำซ้ำเหงื่อยังไหลโซมกายราวกับอาบเหงื่อต่างน้ำ แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ไม่ค่อยชอบอากาศร้อนๆ อย่างเยว่ซินกลับไม่บ่นสักคำ
ขณะที่ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามซอยเล็กซอยน้อยในโครงการของตลาดนัดขนาดใหญ่ พลันรวิสราก็มีอันต้องเซถลาเมื่อเธอถูกชนเข้าเต็มๆ แรงจนแทบจะล้มหัวฟาดพื้น พร้อมกับที่หูได้ยินเสียงโหวกเหวกของหญิงวัยกลางคนดังมาจากทางด้านหลัง
“ช่วยด้วยค่า! ช่วยด้วย!”
รวิสรามองตามอย่างสนใจ ขณะที่ร่างของเธอมีเยว่ซินคอยช่วยพยุง เจ้าของเสียงตะโกนนั้นก็เริ่มวิ่งเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นทุกที
“ช่วยด้วยค่า! โจรกระชากกระเป๋าฉัน!”
รวิสราได้ยินอย่างนั้นก็ยัดของทั้งหมดใส่มือเยว่ซิน ก่อนจะรีบวิ่งตามหลังหญิงวัยกลางคนคนนั้นเพื่อช่วยไล่จับโจรกระชากกระเป๋าโดยเร็วที่สุด เยว่ซินได้แต่ร้องห้ามปรามตามหลังอีกฝ่าย แต่รวิสราก็ไม่ฟัง สาวฮ่องกงจึงได้แต่หอบข้าวของแล้วรีบวิ่งตามญาติสาวที่มักจะทำตัวเป็นฮีโร่ชอบช่วยเหลือคนอื่นไปอย่างรวดเร็ว
หลายต่อหลายครั้งที่รวิสราเป็นเช่นนี้ เจ้าหล่อนชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ไม่ว่าใครจะเดือดร้อน ขอเพียงรวิสราช่วยได้ญาติของเธอยินดีช่วยเสมอ ตอนที่ รวิสรายังเรียนอยู่เธอก็ได้ยินน้าริสาบ่นอยู่หลายครั้งที่ลูกสาวคนเล็กมักจะชอบไปค่ายโน้นค่ายนี้เพื่อทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์อยู่เสมอ โชคดีที่รวิสราหัวดีจึงไม่ส่งผลเสียต่อการเรียนของเจ้าหล่อน
โดยส่วนตัวเยว่ซินเองก็เจอกับการชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของรวิสราอยู่หลายครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รวิสราเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้วยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
ครั้งหนึ่งเธอเคยถามรวิสราว่าทำไมถึงต้องช่วยเหลือคนอื่นมากมายขนาดนี้ด้วย หลังจากที่เดินเล่นกันแล้วเธอต้องมายืนคอยรวิสราช่วยนำส่งคนเจ็บที่เกิดอุบัติเหตุทางถนนไปส่งโรงพยาบาล แต่เจ้าของรถยนต์คู่กรณีกลับไม่สนใจจะช่วยคนเจ็บแม้แต่น้อย กลับอาศัยความมืดและร้างผู้คนทิ้งเหยื่อจากความประมาทของตนเองไว้ข้างทางเสียอย่างนั้น
“ทำไมต้องช่วยเขาด้วยนะหนูเล็ก เกิดเขาคิดว่าเธอเป็นคนชนเขาเธอจะทำยังไง แทนที่จะรีบแจ้งตำรวจก่อนเพื่อป้องกันตัวเองไว้ก่อน”
“ถ้าฉันไม่ทำ เกิดเขาตายจะทำยังไงเล่าอาซิน” บางครั้งรวิสราก็เรียกเธออย่างนั้น “ฉันอยู่ในเหตุการณ์ที่ช่วยเหลือได้พอดีก็ต้องช่วยกันไปสิ”
“ทำไมถึงชอบเป็นคนดีมากมายขนาดนี้ ฮึ!” เธอบ่นออกมาอย่างไม่ชอบใจ “เธอเป็นคนดีไปมันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก เธอก็รู้โลกนี้มันไม่ได้มีคนดีไปเสียทั้งหมด” เยว่ซินค้านด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยผสมโกรธเคืองคนที่มักจะใจดีจนเกินขอบเขต และบางครั้งมันก็มากจนเกินกำลังของรวิสราเอง
“เธอมองโลกในแง่ร้ายจังเยว่ซิน...” รวิสราขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นักกับทัศนคติของญาติสาว
แต่แทนที่เยว่ซินจะสลด เจ้าหล่อนกลับถลึงตาใส่คนที่ทำสีหน้าไม่เห็นด้วยก่อนจะตอบกลับให้อีกฝ่ายหน้าชายิบๆ “ก็ดีกว่าใสซื่อแบบเธอนั่นแหละ”
“ฉันไม่ได้ใสซื่อนะ” อีกฝ่ายแย้งขึ้นมาเสียงแหลม พลางมองค้อนใส่เธอ “ฉันก็แค่เห็นว่าช่วยเหลือคนอื่นมันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่นา”
“ย่ะ”
เยว่ซินกระแทกเสียงใส่ เพราะคำพูดของรวิสรามีทั้งเหตุผลและน้ำหนักเสียจนเยว่ซินเถียงไม่ออก อีกฝ่ายจึงได้แต่มองเธอด้วยสายตาปะหลับปะเหลือก ขณะที่เยว่ซินได้แต่ยักไหล่กับสายตาของอีกฝ่าย
“อาซินน่ะ” รวิสราร้องเสียงงอนๆ เมื่อเห็นว่าเธอยังไม่เข้าใจเสียที “โลกใบนี้มันไม่ได้มีแต่คนร้ายกาจสักหน่อย จริงๆ ฉันว่านะคนทุกคนก็อยากเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครอยากเป็นคนเลวหรอก เพียงแต่ว่าความจำเป็นหรืออะไรหลายๆ อย่างทำให้คนเราแสดงออกแตกต่างกัน อย่างคนที่ขับรถชนคุณลุงเมื่อกี้ไง จริงๆ ลองคิดในแง่ที่ว่าเขาเองอาจมีธุระด่วนมากจนลงมาดูคุณลุงไม่ได้ เธอก็เห็น เขายังจอดรถดูอาการคนเจ็บเลยนะ แต่พอเห็นว่าคุณลุงแค่หกล้มไม่ได้บาดเจ็บสาหัสถึงได้ขับรถไปไง”
“แก้ตัวโง่ๆ น่ะหนูเล็ก” เยว่ซินทักท้วง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งหมั่นไส้ทั้งระอากับทัศนคติการมองโลกของรวิสรา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายซื่อบื้อจนเรียกว่าโง่หรือมองโลกในแง่ดีสุดๆ ไม่รู้ว่าป้าริสาเลี้ยงดีเกินไปหรืออย่างไร ญาติของเธอคนนี้ถึงได้เป็นคนมองโลกในแง่ดีแบบนี้ไปได้ รวิสราทำราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนเป็นสีขาว...ที่หากมีอะไรมาแปดเปื้อนเพียงน้อยนิดเจ้าหล่อนก็พร้อมที่จะปิดหูปิดตาไม่ยอมมองมันเสีย
“ไม่ได้แก้ตัวนะ ฉันคิดอย่างนี้จริงๆ” รวิสราแย้งขึ้นมาทันควัน แล้วเอ่ยย้ำความคิดของตนเองด้วยน้ำเสียงและสีหน้าหนักแน่น “ในจิตใจคนเราย่อมอยากที่จะเป็นคนดีกันทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าดีของเขากับดีของเรามันไม่เท่ากันเขามองว่าเขาดี แต่เรามองว่าเขาเลว อคติส่วนใหญ่ของคนมองนั่นต่างหากที่ไปตัดสินใจคนๆ นั้นน่ะ”
“ย่ะ แม่คนดี ฉันไม่เถียงเธอแล้ว”
หญิงสาวค้อนขวับ ขี้เกียจจะเถียงกับแม่คนมองโลกในแง่ดีนี้อีกต่อไป รวิสราอยากทำอะไรก็ทำไปตามสบายเลย เธอขี้เกียจขัดขวางแล้ว!
“โธ่…อาซิน สรุปจะว่าฉันโง่ใช่ไหม” รวิสราประท้วงอย่างไม่ชอบใจนัก แม้ว่าในยามนี้เยว่ซินจะยอมให้เธอช่วยเหลือคุณลุงคนนั้นแล้วก็ตาม แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงกลับรู้สึกว่าตัวเองแพ้สาวลูกครึ่งฮ่องกงก็ไม่รู้
“ย่ะ” เยว่ซินกระแทกเสียงสะบัดใส่อีกฝ่าย แล้วอดไม่ได้ที่จะจิ้มนิ้วเรียวสวยของตนเองลงบนหน้าผากนูนเกลี้ยงของรวิสราด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ระคนเอ็นดูคนที่มีศักดิ์เป็นน้องและอายุน้อยกว่าเธอเพียงหนึ่งปีเท่านั้น “รู้ตัวด้วยเหรอ แม่คนดี แม่คนโง่ แล้วโน่น ฉันไม่ช่วยเธอรับผิดชอบค่ารักษาคุณลุงคนนั้นด้วยนะ เธอจัดการเองเลยย่ะแม่คนดี!”
ตอนท้ายเธออดประชดอีกฝ่ายไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงเรียกญาติคนไข้ของคุณลุงที่พวกเธอพากันนำตัวส่งโรงพยาบาลดังแว่วมาจากช่องจ่ายเงินค่ารักษาของทางโรงพยาบาล