‘ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีทั้งนั้น...เพียงแต่พวกเขาจะปกปิดความดีของตนเองเอาไว้มากแค่ไหน
เพราะไม่ว่าอย่างไรโลกใบนี้ก็ไม่เคยมีความมืดมิดที่แท้จริง...
เหมือนกับช่วงกลางคืน ที่พอถึงเวลาพระอาทิตย์ก็จะโผล่พ้นขึ้นมาจากขอบฟ้า...โลกที่มืดมิดก็จะหายไป’
“ตื่นได้แล้วยายขี้เซา!”
เสียงร้องดังลั่นส่งผลให้คนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงถึงกับสะดุ้งและลืมตาตื่นขึ้นทันควัน ที่ตื่นไม่ใช่เพราะเสียงนั่นหรอกนะ! แต่เป็นเพราะแรงกระโดดทับของคนที่เข้ามาปลุกต่างหากที่ทำให้เธอถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ลืมตาขึ้นมาเต็มตาด้วยซ้ำ รวิสราก็รู้สึกว่ามีคนเอาสองมือมาประกบศีรษะเธอแล้วเขย่าเสียจนเธอหัวสั่นหัวคลอน แถมน้ำหนักตัวที่ อีกฝ่ายนั่งทับเธอเอาไว้ก็ทำให้รวิสราได้แต่นอนแผ่บนเตียงไม่อาจขยับเขยื้อนได้ สุดท้ายเมื่อเวียนหัวมากๆ เข้าเธอจึงใช้สองมือที่ว่างของตัวเองดึงมือของคนประทุษร้ายออกแรงๆ เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายหยุด
“ตื่นแล้วล่ะสิ”
จอมซาดิสม์เอ่ยถาม รวิสราส่งสายตาเขียวปั๊ดให้แก่อีกฝ่าย ไม่ตื่นได้อย่างไรไหว ทั้งโดนทับและโดนเขย่าถึงขนาดนี้
“ไปอาบน้ำแปรงฟันได้แล้วยายขี้เซา นี่มันจะสิบโมงเช้าอยู่แล้วนะจ๊ะ ฉันรอเธอตื่นเองจนทนไม่ไหวต้องเข้ามาปลุกเนี่ย”
ในที่สุดผู้บุกรุกก็ลุกขึ้นไปจากตัวเธอเสียที รวิสราถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางลุกจากเตียงแล้วจ้องมองคนที่เข้ามาปลุกเธอด้วยวิธีการรุนแรงเช่นเมื่อครู่ที่ผ่านมา
คนตรงหน้าของเธอคือหญิงสาวร่างสูงเพรียว เจ้าของรูปร่างที่มีส่วนโค้งส่วนเว้างดงาม ใบหน้าเรียวเล็กนั้นถูกตบแต่งด้วยเทคนิคการแต่งหน้าที่ดูสวยเป็นธรรมชาติ ดวงตากลมโตคู่นั้นดูโตกว่าสาวจีนทั่วๆ ไป อาจเพราะเจ้าหล่อนเป็นลูกครึ่งไทย-ฮ่องกง เส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลทองเป็นลอนยาวระแผ่นหลังบอบบาง บางส่วนเคลียไหล่มนที่โผล่พ้นจากชุดเปิดไหล่
เจ้าหล่อนตรงหน้าดูสวยน่ารักคล้ายกับตุ๊กตาอย่างไรอย่างนั้น หากไม่นับนิสัยร่าเริงจนถึงขั้นไฮเปอร์ แล้วจับให้อยู่นิ่งๆ ก็พอกล้อมแกล้มเรียกได้ว่าเป็นตุ๊กตาที่แสนจะน่ารักได้อยู่หรอกนะ
“นี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเยว่ซิน”
รวิสราถามลูกพี่ลูกน้องของเธอ จางเยว่ซินเป็นลูกครึ่งไทย-ฮ่องกงโดยที่เจ้าหล่อนมีมารดาเป็นชาวไทยและบิดาเป็นคนฮ่องกง ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ฮ่องกงด้วยกันทั้งคู่ มารดาของเยว่ซินเป็นพี่สาวของแม่เธอ และเพราะเมืองไทยกับฮ่องกงนั้นใกล้กันมาก นั่งเครื่องบินไปมาหากันได้สะดวก ด้วยระยะเวลาการเดินทางเพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้น ทำให้ป้าของเธอหรือแม่ของเยว่ซินมักจะพาอีกฝ่ายมาเมืองไทยบ่อยๆ พลอยทำให้รวิสราและเยว่ซินซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกันสนิทกันไปโดยปริยาย
“มาถึงกลางดึกนั่นแหละ เห็นเธอเข้านอนแล้วฉันเลยไม่อยากปลุก” เยว่ซินตอบพลางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอนเล็กๆ ของรวิสรา
“แล้วนี่จะอยู่กี่วันล่ะ” รวิสราถามด้วยความอยากรู้
“อาทิตย์นึงมั้ง” สีหน้าของเยว่ซินคล้ายกับไม่แน่ใจในคำตอบของตนเอง “พอดีตอนนี้ลาพักร้อนน่ะ ไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ เลยมาหาเธอดีกว่าไงหนูเล็ก”
รวิสราได้แต่ส่ายหน้า ไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของเยว่ซินเท่าใดนัก เพราะตั้งแต่เรียนสูงขึ้นจนกระทั่งเยว่ซินเรียนจบ อีกฝ่ายก็ไม่ค่อยได้มาเมืองไทยเท่าไหร่นัก การเจอกันครั้งล่าสุดคือเธอทั้งครอบครัวที่ขนกันไปเยี่ยมป้าจันทราถึงฮ่องกงต่างหาก
“อย่าโกหกเลย นี่แอบหนีป้าจันทร์มาหรือเปล่า งอนอะไรแม่ตัวนักหนาหือ?...เยว่ซิน”
“ก็เบื่อนี่นา” คนที่แอบหนีแม่มาเมืองไทยย่นจมูกด้วยท่าทีน่ารักก่อน จะยอมรับออกมาตรงๆ ด้วยรู้ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปิดบังได้อยู่แล้ว “ก็แม่น่ะสิ เล่นบังคับให้ไปดูตัวแทบจะทุกอาทิตย์เลย”
“ก็ดีแล้วนี่ จะได้แก้เบื่อไง”
“ไม่เอาแก้เบื่อแบบนี้สิ”
เยว่ซินประท้วงเสียงหงุงหงิง พลางตีหน้าบูดบึ้ง
รวิสราเห็นอย่างนั้นจึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เธอยื่นมือไปฉุดร่างสูงเพรียวของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นจากเตียงของเธอ “เอ้า ลุกขึ้นมาได้แล้ว ฉันจะเก็บเตียงนอนแล้ว”
“ไปอาบน้ำก่อนเถอะค่อยมาเก็บ ฉันจะนอนรอที่นี่แหละ”
แต่นอกจากจะไม่ลุกแล้ว เยว่ซินยังทิ้งตัวลงนอนแทนที่รวิสราเสียอย่างนั้น คนโดนปลุกเลยได้แต่ค้อนใส่ญาติผู้พี่ที่อายุมากกว่าเพียงหนึ่งปี ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องน้ำเพื่อจัดการธุระยามเช้าให้เสร็จ ด้วยรู้แน่แก่ใจแล้วว่าเยว่ซินจะต้องหาทางลากเธอออกไปข้างนอกด้วยกันจนได้แน่ๆ
“กว่าจะลงมาได้นะลูก ใครๆ เค้าก็รอกินข้าวกับหนูกันจนทนไม่ไหวแยกย้ายกันไปหมดแล้ว”
“พี่ใหญ่ก็ไปแล้วเหรอคะ”
“ย่ะ ใครจะไปรอคนขี้เซาอย่างหนูกันล่ะลูก” ริสาตอบพร้อมกับใช้ปลายนิ้วจิ้มลงบนหน้าผากเกลี้ยงของลูกสาวคนเล็กด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดู “ดูสิ ขนาดเยว่ซินที่มาถึงกลางดึกยังตื่นก่อนลูกเลย”
“หนูก็แค่อ่านหนังสือดึกเท่านั้นเอง” รวิสราแก้ตัวอุบอิบ ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเพราะกลัวจะเข้าตัวมากกว่านี้ “ว่าแต่วันนี้แม่มีอะไรเหลือให้หนูกินบ้างไหม”
“ไม่เหลือแล้วล่ะ นี่แม่ก็ว่าจะออกไปธุระด้วย หนูกับเยว่ซินก็ออกไปหาอะไรกินข้างนอกก็แล้วกัน”
นางสั่งบุตรสาว เห็นรวิสราทำหน้ามุ่ยคล้ายกับขัดใจนิดหน่อยจึงได้แต่หลุดขำแล้วยกมือขึ้นผลักรวิสราเบาๆ
“หวังว่าแม่จะไม่คิดหางานอะไรให้หนูนะคะ หนูยังไม่อยากทำงาน”
รวิสรารีบดักคอผู้เป็นมารดา เนื่องจากสัปดาห์ก่อนท่านคิดฝากงานให้เธอไปเป็นเลขาฯ ของลูกชายเพื่อนท่านที่เปิดบริษัทเกี่ยวกับขนมขบเคี้ยวยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่งในระหว่างที่เธอกำลังรอรับปริญญา เพราะกลัวว่าเธอจะหางานทำไม่ได้ รวิสรารีบปฏิเสธไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ยอมรับก็ได้ว่าเธอกำลังขี้เกียจ อยากอยู่นิ่งๆ ยังไม่คิดจะเริ่มหางานหรือเรียนต่ออะไรทั้งนั้น
“ไม่หรอกน่ะ ไม่อยากขายขี้หน้า อุตส่าห์ฝากให้ดิบดีแต่กลับไม่ยอมไปทำงานเสียอย่างนั้น”
ผู้เป็นมารดาเอ่ยพลางค้อนขวับ ขณะที่รวิสราพยักหน้ารับหงึกๆ พลางกอดเอวผู้เป็นมารดาแน่นด้วยความชอบใจที่ท่านไม่คิดจะบังคับเธอ วงเล็บ...แค่ในตอนนี้น่ะนะ
“รักแม่ที่สุด”
หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับออดอ้อน ขณะที่ริสาได้แต่มองลูกสาวอย่างหมั่นไส้
“ย่ะ ยายขี้เกียจ ไป...ออกไปข้างนอกได้แล้ว เยว่ซินรอนานแล้วนะไม่เกรงใจพี่เขาบ้างหรือไงลูก”
“ค่าๆ”
รวิสราตอบพลางผละจากผู้เป็นมารดา ก่อนจะกวักมือเรียกเยว่ซินที่เดินเข้ามาหาพอดี แล้วจากนั้นจึงบอกแก่ญาติผู้พี่ที่อายุมากกว่าเธอหนึ่งปีให้เข้ามาใกล้ พร้อมกับบอกว่าจะพาไปเที่ยวข้างนอกแทนที่จะอยู่ในบ้านวันนี้