เขาควรฉลาดเพื่อเอาตัวรอด และจะไม่ยอมเป็นฮีโร่ถ้าคนที่เขาห่วงใยจะได้รับอันตราย
เสียงปะทะกันของปืนเงียบเสียงไปอึดใจ จนได้ยินเสียงวิ่งไปทางด้านหลัง เขารออย่างใจเย็นจนเรื่องสงบแล้วก็ออกมา
ชวกรกับคณิณวิ่งมาทางเต็นท์ของมาวินทันที่ได้ยินเสียงปืนเงียบลง
“ไอ้วิน...มึงยังหายใจไหมวะ”
“เออยังหายใจดี แล้วพวกเรามีใครเป็นอะไรบ้าง” เขาลุกขึ้นแล้วเปิดเต็นท์ออกไปสบทบกับสองคนที่ยืนอยู่หน้าเต็นท์
“พวกทหารบอกว่ากลุ่มติดอาวุธเข้ามาสร้างสถานการณ์ ที่นี่ไม่ปลอดภัย” ชวกรกล่าวเสียงเครียด
“ฉันจะแจ้งถอนภารกิจ หากไม่ปลอดภัยเราไม่ต้องดึงดัน” หากเทียบกับการช่วยคนแล้ว คนช่วยก็ต้องปลอดภัยด้วยเช่นกัน เราจะไม่เสี่ยงทำอะไรที่เป็นอันตราย
“งั้นนายรีบไปจัดการ เดี๋ยวฉันจะแจ้งให้ทุกคนเตรียมตัวเพื่อถอนตัวออกจากพื้นที่”
ช่วงเช้าทุกอย่างเป็นไปด้วยความโกลาหล เมื่อคืนมีทหารที่เฝ้ายามเสียชีวิตวันนี้ทั้งหมดจึงได้รับให้เคลื่อนย้ายออกจากหน่วยการแพทย์ฉุกเฉิน
ช่วงสายหลังจากประสานงานกับทางกองทัพและต้นสังกัดของทุกโรงพยาบาลที่เข้าร่วมเห็นพ้องต้องกันคือรีบถอนกำลังออกจากพื้นที่สีแดงด่วน
เมื่อชายหนุ่มไปทำงานหน้าที่ประสานงาน หน้าที่เก็บของก็เป็นของเมริษา เธอเก็บข้าวของของเขาทั้งหมด แล้วก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์ของเขาที่วางอยู่ เธอมองอย่างชั่งใจก่อนจะคว้ามันขึ้นมา
ดวงตาเล็กจ้องมองรูปที่ติดอยู่ในกระเป๋าสตางค์นั้นอย่างไม่เชื่อสายตา
“รูปถ่ายของเธองั้นเหรอ” จำได้ว่าเขามีรู้เธอน้อยมาก แทบจะไม่มีในเครื่องเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมถึง...
เขาเอารูปตอนเธอทำกับข้าว ที่เขาบอกว่ารสชาติมันฝืนทนมาก แต่เขาก็ทานจนหมด แต่เมื่อเธอทำข้าวกล่องให้เขาไปทานที่ทำงานด้วย ตอนแรกก็ดีใจที่กล่องข้าวไม่เหลืออาหารกลับมา
แต่วันหนึ่งเธอไปส่งอาหารเย็นที่โรงพยาบาล กลับเห็นว่าเขาเอากล่องข้าวของเธอไปเททิ้ง
เธอหลบอยู่หลังเสามองภาพสามีที่ทิ้งอาหารที่เธอตั้งใจทำอย่างไม่เหลียวแลมัน
“ไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ” หญิงสาวเดินด้วยท่าทีอ่อนล้าออกจากโรงพยาบาลไปนั่งอยู่ที่มุมตึกที่มีโต๊ะนั่งพักของแพทย์และเจ้าหน้าที่
เธอเปิดกล่องออกพร้อมกับกลิ่นกับข้าวที่หอมฉุย แล้วตักเข้าปาก แม้ว่ารสชาติไม่ได้อร่อยเลิศ แต่ทว่ามันก็ไม่ได้แย่จนกินไม่ได้
คนใจร้าย...!
เธอว่าเขาอย่างตัดพ้อ แล้วก็ภาพวันเวลาเก่า ๆ หมุนเวียนมาให้เธอได้เจ็บปวดใจอีกครั้ง
เธอปิดพับกระเป๋าสตางค์ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สลัดควาทรงจำเหล่านั้นเสีย เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว แม้ว่ายังมีเขาวนเวียนมาอีกก็ตามเถอะ
“สู้สิเมย์”
“ไม่ต้องสู้แล้วเมย์...ขนของขึ้นรถได้แล้ว” เขารีบวิ่งมาเพราะได้รถนำทีมแพทย์ทั้งหมดกลับแล้ว
“ไม่ได้สู้แบบนั้นสักหน่อย” เธอว่าทำปากขมุบขมิบ แล้วก็ขนกระเป๋าแบกขึ้นบ่าแต่ก็โดนเขาแย่งไปถือไว้อีกอยู่ดี
“เมย์ถือเอง” เธอว่าแล้วก็เอามือปิดปาก เผลอหลุดปากเรียกชื่อแทนตัวเองกับเขาเข้าแล้ว อยากตบปากตัวเองนักเชียว
“ฉันชอบนะ”
เขาว่าแล้วก็เดินหนีเธอไป ทำเอาคนที่เผลอทำตัวสนิทสนมกับเขาทำตัวไม่ถูก แล้วก็ก้มหน้างุดเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
เธอเข้าไปนั่งข้างเขา เพราะดูเหมือนสองคนนั้นจะเว้นที่ไว้ให้สำหรับเธอโดยเฉพาะ และนั่นทำให้เธอเลี่ยงไม่ได้
ตลอดเวลาสามวันตั้งแต่เดินทางมาร่วมภารกิจและกลับในวันนี้ อะไร ๆ ก็ดูจะเป็นใจให้เธอได้ใกล้ชิดกับเขาอีกครั้ง
อดีตสามีที่เป็นอันตรายต่อหัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอ แต่เมื่อคิดว่ากลับไปเดี๋ยวก็จบแล้ว เธอและเขาก็ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวเหมือนเดิมแบบที่เคย ๆ
แต่ขณะนั่งรอขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย เสียงเรียบของมาวินก็เอ่ยขึ้น
“กลับไปเตรียมย้ายมาร่วมทีมกับผม”
“ฮะ!”
“หูไม่ได้แคะเลยใช่ไหม ไว้เจอกันครั้งหน้าผมจะช่วยแคะหูให้”
ใบหน้าเล็กแดงก่ำลงอีก เมื่อเขาทอดเสียงเหมือนต้องการสื่อความหมายเป็นอย่างอื่น
‘หมอหน้าหม้อ!’