ในชีวิตของฉัน เจอเรื่องซวยหนัก ๆ อยู่แค่สองครั้งเท่านั้น นั่นคือครั้งแล้วกับครั้งเล่า ใครจะคิดล่ะว่าลูกชายของเพื่อนสนิทพ่อจะเป็นผู้ชายที่ฉันเผลอไปวันไนท์จนร่างแทบแหลก ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากการพลัดตกเหวแล้วคว้ากิ่งไม้ไว้ได้ ทว่าดันเป็นกิ่งไม้ที่มีงูพิษกำลังพันรอบกิ่งเอาไว้อยู่
“ขะ ขอโทษค่ะ หนูเคาะห้องผิด”
ฉันรีบผงกหัวให้กับชายตรงหน้าที่กำลังยืนเปลือยท่อนบนพร้อมกับจ้องมองฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็หันหลังเตรียมจะเดินกลับไปยังรถที่จอดอยู่ด้านล่าง
“เดี๋ยว!”
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นง่าย ๆ
“คะ?”
ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกความกล้า แล้วหันหน้ากลับไปเผชิญกับเขาอีกครั้ง
“ไหนบอกว่าผ่านมาเยอะไง ซิงทำไมไม่บอก”
“...”
คำถามที่ยิงเข้าตรงประเด็นทำเอาใจฉันกระตุกเต้นราวกับจะกระเด็นออกมานอกอก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน ไม่รู้เลยว่าควรพูดแก้ตัวไปแบบไหน
“เอ่อ...”
“ถ้าบอกกันแต่แรก ฉันจะได้ไม่ทำแรงขนาดนี้”
“นะ หนูโอเคค่ะ”
ฉันพยักหน้าประกอบคำพูดพร้อมกับกุมมือตัวเองเอาไว้แน่น สายตาก็เพ่งมองไปที่พื้นไม่กล้าเงยขึ้นไปสบตาอีกฝ่าย
“เข้ามาสิ”
“เอ่อ...”
“เข้ามา”
เสียงที่กดต่ำสร้างความน่าเกรงขามอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งที่ฉันควรวิ่งตัวปลิวกลับขึ้นรถไปแล้ว แต่ทำไมฉันต้องยอมก้าวขาเอาตัวเข้าไปอยู่ในพื้นที่อันตรายแบบนี้ด้วย
เดินเข้ามาในห้องของเขาแล้วฉันก็ยังเอาแต่ยืนตัวเกร็งไม่ไหวติง ตอนนี้ไม่อยากอยู่กับเขาแล้ว ต่อให้ฉันต้องกลับไปแล้วโดนผีหลอกฉันก็ยอม
“ป๊าว่าไงบ้าง”
“คะ คุณลุงบอกว่าให้มาอยู่ห้องเฮียก่อนค่ะ จนกว่าจะหาหอใหม่ได้”
“แล้วฉันล่ะ?”
นี่เขายังไม่คุยกับพ่อเลยเหรอเนี่ย แล้วไหนคุณลุงบอกเองว่าคุยกับลูกชายเข้าใจเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ... คุณลุงบอกว่าเฮียมีห้องพักสำรองอยู่ค่ะ”
“ไม่มี”
“คะ?”
“ฉันไม่มีห้องพักสำรอง เต็มหมดแล้ว ถ้าจะอยู่ที่นี่เธอก็ต้องอยู่กับฉัน โอเคไหมล่ะ?”
“...”
ไม่โอเค! แค่ยืนอยู่ด้วยกันไม่กี่นาทีฉันยังอึดอัดจนอยากกระโดดตึกลงไปให้มันจบ ๆ
“ว่าไง หรือจะกลับไปให้ผีหลอก”
“งั้นหนูกลับไปให้ผีหลอกก็ได้ค่ะ”
ฉันรีบตอบออกไปทันควันอย่างไม่ต้องลังเลอะไรมาก อย่างน้อยทนโดนผีหลอกก็ดีกว่าต้องมาอยู่กับความขายหน้าที่ตัวเองก่อเอาไว้ละวะ!
“มั่นใจเหรอ?”
เขาเลิกคิ้วถามพร้อมกับเดินเข้ามาชิดจนฉันต้องแหงนหน้าขึ้นมอง
“หอในน่ะตายกันทุกปี ปีก่อนก็มีคนผูกคอตายในช่วงปิดเทอม กว่าจะมีคนเห็นศพก็อืดจนตาหลุดออกมาจากเบ้าแล้ว เผลอ ๆ ห้องที่มีคนผูกคอตายอาจจะเป็นห้องที่เธออยู่ก็ได้นะ”
“...”
สมองของฉันเริ่มตบตีกันอย่างหนัก เพราะไม่เหลือทางเลือกดี ๆ ให้กับฉันเลย นั่นก็ผี นี่ก็คนหื่นกาม ชีวิตนังอลิซมันจะราบรื่นบ้างไม่ได้เลยหรือไง!
“ขนข้าวของมายัง”
“ค่ะ อยู่บนรถ”
“เอากุญแจรถมา”
“คะ?”
ฉันงงงวยเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมยื่นกุญแจรถใส่มือที่ยื่นออกมารอรับ
“ทะเบียนอะไร”
“อล999 คันสีขาวค่ะ”
“รออยู่นี่แหละ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนู...”
“เจ็บไม่ใช่หรือไง? นั่งพักเถอะ”
“...”
ไม่มีประโยคไหนเลยที่เขาจะไม่ตอกย้ำเรื่องเมื่อคืน ทำเอาฉันหน้าร้อนผ่าวจนไปไม่เป็น แต่เดี๋ยวนะ!! ฉันยังไม่ทันได้ตกลงเลยว่าจะอยู่ที่นี่
พอจะหันไปคัดค้าน อีกฝ่ายก็ดันเดินหายออกไปจากห้องแล้ว ไวจริง ๆ เลย
แล้วฉันจะเอายังไงต่อล่ะเนี่ยย!! จะหนีก็หนีไม่ได้ จะอยู่ต่อก็ดันวางตัวไม่ถูกอีก เตียงก็มีเตียงเดียว แล้วแบบนี้จะนอนกันยังไง
ฉันผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียดก่อนจะยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองแรง ๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ทำไมชีวิตฉันมันถึงได้น่าเวทนาขนาดนี้ ทำไมถึงมีแต่เรื่องแต่ราวไม่รู้จบ
ขณะที่ฉันกำลังตัดพ้อให้กับความห่าเหวทุกอย่างที่รุมเร้าเข้ามาพร้อมกัน จู่ ๆ สายตาก็ไปปะทะเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมใส ๆ ซึ่งวางอยู่ใกล้กับมือ พอเพ่งมองดี ๆ ถึงได้รู้ว่ามันคือ...
“กรี๊ดดดด!!!!”
นาทีนี้ฉันไม่เอาอะไรทั้งสิ้น รีบกระโดดขึ้นเตียงด้วยความกลัว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าของห้องกำลังหอบของพะรุงพะรังขึ้นมา
“เป็นอะไร!”
เฮียคินน์รีบเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นตกใจ พลางหันไปมองตามนิ้วชี้ที่สั่นระริกของฉัน
“ฮือออ!! นะ หนอนค่ะ หนอนอยู่ในกล่องใสนั่น”
ฉันรีบกระโดดลงจากเตียงไปหลบอยู่ด้านหลังผู้ชายร่างใหญ่ แต่เขากลับไม่มีท่าทีตกใจ ซ้ำยังส่ายหน้าเบา ๆ อย่างเอือมระอา
“นี่น้องนุ่มนิ่ม สัตว์เลี้ยงฉันเอง”
“เลี้ยง! เลี้ยงทำไมคะ”
ฉันถามประโยคโง่ ๆ ออกไปอย่างลืมตัว สัตว์บนโลกนี้มีกี่ล้านชนิด แต่เขาเลือกที่จะเลี้ยงหนอนเนี่ยนะ!! เขาคิดอะไรอยู่
“ฉันเก็บได้ สงสารน่ะ เลยเอามาเลี้ยง”
สาบานว่านี่คือเหตุผลที่สมเหตุสมผลแล้วจริง ๆ เขาสามารถที่จะเอามันไปปล่อยที่ป่า บนต้นอะไรสักอย่าง หรือที่สวนดอกไม้ก็ได้ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเก็บมันมาเลี้ยง เป็นคนประเภทไหนวะเนี่ย!!