หอใหม่ครั้งที่สอง

1450 Words
“จะย้ายออกทำไมไม่บอกก่อน” คนที่เพิ่งกลับมาจากเรียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ พร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกจ้องมองหน้าฉันที่กำลังเก็บของยัดใส่กระเป๋า “เอ่อ... นะ หนูกะว่าจะบอกตอนเฮียกลับมาถึงหอก่อนน่ะค่ะ” โมโหอะไรมาเนี่ย มาถึงก็หน้าบึ้งตึงใส่ ไปกินรังแตนที่ไหนมา “อืม” เขาตอบกลับเพียงแค่สั้น ๆ จากนั้นก็เดินไปวางกระเป๋าและถอดเสื้อ ทั้งที่เป็นการกระทำที่แสนธรรมดา แต่ฉันกลับมองว่าเขากำลังเก็บอาการหัวร้อนอยู่ “ขนของไปเองนะ ไม่ว่าง” “อ๋อ ได้ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เพราะไม่คิดจะรบกวนเขาอยู่แล้ว ระหว่างนี้ก็นั่งเก็บของไปเงียบ ๆ ส่วนเฮียคินน์ก็เดินไปหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่ม พร้อมกับยกเฟรมผ้าใบขึ้นมาวาดรูป นี่น่าจะเป็นงานอดิเรกเขาหรือเปล่านะ เห็นมีเฟรมผ้าใบวางอยู่เกลื่อนห้อง แถมยังมีภาพวาดสวย ๆ เยอะเลย ฉันใช้เวลาลากกระเป๋าลงไปและขึ้นมาเอาใบใหม่อยู่สองสามรอบจนหายใจเหนื่อยหอบลิ้นห้อย จริง ๆ เฮียคินน์ก็สามารถที่จะวางพู่กันในมือแล้วมาช่วยฉันยกได้ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำ ใจร้ายชะมัด! คนอะไรไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย “เอ่อ... นี่ค่ะ กุญแจสำรอง” หลังจากที่เก็บข้าวของลงไปหมด ฉันก็เดินไปยื่นกุญแจห้องให้กับเขา ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีใส่ใจ ซ้ำยังทำเป็นหูทวนลมราวกับไม่ได้ยินที่ฉันพูด “เฮียคินน์คะ” “เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ” เสียงราบเรียบเอ่ยบอก ในขณะที่ก้มลงไปล้างปลายพู่กัน จากนั้นก็จุ่มสีลงไปป้ายที่เฟรมผ้า นั่งวาดมาจะครึ่งชั่วโมงแล้ว ฉันยังดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังวาดอะไร “หนูวางไว้ตรงหน้านี้นะคะ” บอกแล้วก็วางกุญแจไว้ที่โต๊ะไม้ แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่เพ่งมองเฟรมผ้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย แววตาขุ่นมัวของเขาบ่งบอกถึงความไม่พอใจบางอย่าง โกรธหรือเปล่านะที่ฉันจะไปแล้วไม่บอกก่อน คงไม่หรอกมั้ง เขาควรดีใจด้วยซ้ำ ก็ฉันมารบกวนความสงบสุขของเขานี่ “เอ่อ... ขอบคุณนะคะที่ให้ที่อยู่กับหนู ถ้าไม่ได้เฮียช่วย หนูคง...” “จะไปก็ไป พูดพล่ามอะไรน่ารำคาญ” “...” น้ำเสียงของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเคย แต่ทำไมประโยคนี้ถึงทำให้ฉันใจกระตุกวูบด้วยความเจ็บหน่วงแปลก ๆ คนอุตส่าห์ร่ำลาดี ๆ นิสัยเสียจริง ๆ เลย “ค่ะ!” ฉันกระแทกเสียงใส่อย่างลืมตัว ทำเอาคนหน้าเฟรมผ้าใบถึงกับหยุดชะงัก รีบปรายตาขึ้นมามอง ฉันถึงได้รู้ตัวว่ากำลังทำกิริยาไม่เหมาะสม ไม่รู้แหละ ก็เขาทำนิสัยไม่ดีใส่ฉันก่อนนี่ เห็นว่าไม่มีอะไรที่เราต้องร่ำลากันแล้ว ฉันจึงเดินออกมาจากห้องด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว จากนั้นก็ตรงมายังหอพักใหม่ทันที ก่อนที่มันจะค่ำมืดเสียก่อน มาถึงก็พบว่าที่นี่เป็นหอพักหกชั้น สภาพใหม่เอี่ยมราวกับเพิ่งเปิดให้บริการไม่ถึงปี สภาพแวดล้อมทุกอย่างดีหมด แบบนี้ค่อยหายห่วงหน่อย “สวัสดีค่ะ ที่ติดต่อจองห้องไว้น่ะค่ะ” “อ๋อ สวัสดีครับ คุณอลิซใช่ไหม” “ใช่ค่ะ” ฉันตอบกลับผู้ชายวัยสามสิบต้นที่แต่งตัวดูดี คาดเดาว่าน่าจะเป็นนิติ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจ้าของหอพักเสียเอง “เชิญเลยครับ ห้องอยู่ทางนี้” ชายตรงหน้ายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะค้นหากุญแจแล้วพาฉันเดินขึ้นไปดูห้องที่ชั้นห้า เดินขึ้นมาก็พบว่าชั้นนี้เงียบแปลก ๆ จะมีผีไหมเนี่ย “มีผีไหมคะ” “หือ?” ชายข้างกันหันมามองฉันด้วยแววตาสงสัย ในขณะที่กำลังไขประตูเข้าไปในห้อง “น้องกลัวเหรอ” “ก็... ค่ะ” ฉันยิ้มเจื่อนสารภาพออกไปตามตรง “ถ้ากลัวให้พี่มานอนเป็นเพื่อนก็ได้นะ” “...” ประโยคที่ออกมาจากเขาทำให้ฉันนิ่งค้างไปด้วยความอึดอัด เริ่มปั้นหน้าไม่ถูกจนต้องเสมองไปทางอื่น “หึ ๆ พี่ล้อเล่นน่ะ” เขาทิ้งช่วงไปนาน เห็นว่าฉันอ้ำอึ้งไปถึงได้เฉลยว่าแค่แหย่เล่นเท่านั้น ทำเอาฉันใจเสียหมด “เป็นไง พอจะอยู่ได้ไหมครับ” คนร่างใหญ่เอ่ยถามทันทีหลังจากที่ปล่อยให้ฉันเดินสำรวจห้องอยู่สักพัก โดยที่อีกฝ่ายก็ยืนนิ่งจ้องมองฉันอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองไหม แต่รู้สึกว่าตั้งแต่เจอกันเขาก็เอาแต่มองฉันแปลก ๆ หรือฉันจะระแวงและคิดมากไป “อยู่ได้ค่ะ” “ของทั้งหมดอยู่ที่ชั้นล่างหมดแล้วใช่ไหม เดี๋ยวพี่โทรบอกลูกน้องเอาขึ้นมาให้” “ใช่ค่ะ ขอบคุณนะคะ” อีกฝ่ายยิ้มบาง ๆ ส่งให้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาใครบางคน น่าจะเป็นลูกน้องที่อยู่ชั้นล่าง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ “ฮัลโหล ขนของขึ้นมาเลยนะ” เขาคุยโทรศัพท์อยู่สักพักก็ตัดสาย แต่กระนั้นก็ไม่ยอมออกไปจากห้อง เอาแต่เดินวนไปมา เดินไปที่ระเบียงบ้าง ห้องน้ำบ้าง พร้อมกับสำรวจไปเรื่อยเปื่อย “เอ่อ... ชั้นนี้ดูเงียบจังเลยนะคะ” อยู่กันลำพังก็รู้สึกอึดอัด ฉันเลยต้องหาเรื่องคุยไปแบบนั้น “อื้อ ชั้นนี้เขาเช่ากันเป็นกลุ่มเพื่อนน่ะ แก๊งใหญ่เลย แต่ช่วงนี้เหมือนเขาจะไปออกค่ายกัน น่าจะอีกสองสามวันเลยกว่าจะกลับ น้องอลิซกลัวไหม?” “อ๋อ ถ้าไม่มีผีหนูก็ไม่กลัวหรอกค่ะ” “หึ ๆ ไม่มีหรอก หอพักนี้พี่เพิ่งสร้างใหม่น่ะ สบายใจได้ จริง ๆ พี่มีหอพักหลายที่เลยนะ แต่จ้างคนดูแล” “อ๋อ ค่ะ” ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เลยตอบไปแค่นั้น ในใจก็เริ่มภาวนาอย่างหนักให้พนักงานเอาของมาส่งเสียที ผู้ชายคนนี้จะได้ออกไปจากห้องของฉัน และแล้วพระเจ้าก็ได้ยินเสียงอธิษฐานในใจที่ดังก้อง เพราะยังไม่ทันที่ผู้ชายคนนี้จะชวนคุยอะไรอีก พนักงานขนของก็มาถึงพอดี “แถวนี้มีร้าน...” “ของมาพอดีเลย เอาวางไว้ตรงนี้เลยค่ะพี่” ฉันเอ่ยแทรกแล้วเดินออกไปบอกกับพี่ผู้ชายร่างใหญ่ที่เพิ่งขนข้าวของมาถึงหน้าห้อง และพอวางข้าวของเสร็จแล้วเขาก็เดินออกไปทันที “ของเยอะจัง จัดไหวไหมเนี่ย ให้พี่ช่วยจัดไหมคะ” “อ๋อ ไม่เป็นไรเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะสะดุ้งโหยงเพราะอีกฝ่ายเดินเข้ามาวางมือบนไหล่ฉันเบา ๆ “พี่ชื่ออาร์ทนะครับ เบอร์พี่ก็ที่น้องโทรเข้ามานั่นแหละ ขาดเหลืออะไรบอกพี่ได้เลย คนกันเองไม่ต้องเกรงใจนะ” “ออ... ค่ะ” ฉันขยับตัวเล็กน้อยออกจากฝ่ามือที่วางทาบไหล่ เป็นจังหวะที่เขาชักมือกลับแล้วเดินออกไปจากห้องพอดี ฟูวว!! ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ดูน่ากลัวแปลก ๆ นะ บางอย่างในตัวเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกคุกคาม แต่คงไม่หรอกมั้ง เขาน่าจะแค่อยากเทคแคร์ลูกบ้านเฉย ๆ หอนี้เป็นหอใหม่ด้วย น่าจะอยากเอาใจใส่เป็นพิเศษ ลูกค้าจะได้อยู่นาน ๆ ฉันละความสนใจกับเรื่องทั้งหมดก่อนจะล็อกประตูแล้วกระโดดขึ้นเตียง แต่จู่ ๆ ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว ป่านนี้เฮียคินน์จะทำอะไรอยู่นะ เขาจะยังโกรธฉันอยู่หรือเปล่า “จะไปสนใจเขาทำไมล่ะอลิซ!” ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดอีกครั้ง ทำไมต้องเอาผู้ชายคนนี้เข้ามาในสมองอยู่เรื่อย มันก็แค่วันไนท์น่า ไม่มีใครเขามานั่งใส่ใจกับความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนหรอก อีกอย่าง ฉันย้ายหอออกมาแล้ว นั่นเท่ากับว่าต่อไปนี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเจอกันอีก เรื่องระหว่างฉันกับเขาก็จะกลายเป็นเพียงความฝัน ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แล้วฉันก็คงจะลืมมันได้ในสักวัน...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD