"อีเด็กบ้า!"
หลังเสียงตะโกนลั่นทำให้เนตรมิงค์ตกใจ เธอลืมตาขึ้นมองก็เห็นผู้ชายที่ยืนตรงหน้าร่วงลงไปกองกับพื้นพร้อมทั้งมีเลือดกลบปาก
ร้านสัก หาญทยานศึก
"เป็นบ้าอะไรยืนนิ่งมันจะหอมแก้มเธออยู่แล้วนะ" ภาพที่เห็นคือไอ้ผู้ชายคนหนึ่งโน้มตัวลงคล้ายจะลวนลามผมจึงรีบวิ่งแล้วสวนหมัดเข้าอย่างจัง "ตอบสิ!"
"หนูทำโทรศัพท์ของพี่พังแล้วเขาจะต้องเอาเงินซ่อมหนูไม่มีทางเลือกเขาให้พันห้าบาท"
"แปลว่าตัวของเธอมีค่าแค่นั้นใช่ไหม!"
"ปะ เปล่านะคะ"
"ไม่ต้องมาแก้ตัว!"
อารมณ์ชายตัวใหญ่ฉุนเฉียวรุนแรงจนตวาดลั่นร้านสักของตัวเองแต่สักพักเพื่อนสนิทอย่างสองก็รีบห้ามปรามไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียด
"ใจเย็นไอ้ห่าน้องมันยังเด็กอยู่เลยอีกอย่างไอ้สัสนั่นก็โตกว่าตั้งเยอะอาจจะมีการพูดทำให้หลงเคลิ้มอะไรแบบนี้"
"อายุสิบห้านะไม่ใช่ห้าขวบต้องคิดก่อนที่จะทำสิวะกว่าพ่อแม่จะเลี้ยงโตมา จู่ๆ ให้ผู้ชายหอมแก้มเพราะเงินพันห้าบาทโง่หรือเปล่า!"
"เออ ใจเย็น"
เหมือนสถานการณ์จะเริ่มเบาลงเพราะเนตรไม่โต้เถียงเธอได้แต่พูดว่าขอโทษและยอมรับผิดจนเวลาผ่านไปสักพัก
นะโม ตัสสะ-----
"โคตรเท่เลย" สองเอ่ยขณะนั่งอยู่บนเตียงใช้สักมองเนตรมิงค์ที่นั่งบนโฟซากำลังยกมือพนมสิบนิ้ว "มึงสอนน้องโดยการเปิดบทสวดให้ฟังเนี่ยนะไอ้หาญ!?"
"กูไม่เคยบวชไงกูจะสอนยังไงสัพเพสัตตากูยังลืมเลย"
"ไอ้ห่า ฮ่าๆ"
"ธรรมะมันเยียวยาทุกอย่างนั่นแหละนั่งสวดไปเลยนะตั้งใจสวดด้วย"
"ใครเขาสอนกันแบบนี้วะไอ้หาญ ฮ่าๆ"
กระทั่งเวลาผ่านไปทุกคนต่างแยกย้ายโดยที่หาญขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปส่งเนตรมิงค์ที่บ้านท้ายซอย
"ส่วนโทรศัพท์ฉันก็ปล่อยให้มันพังไป" เมื่อเด็กนี่ก้าวลงรถผมจึงบอกกล่าว "ทีหน้าทีหลังมีอะไรให้มาบอกฉันตามตรง"
"หนูขอโทษอีกครั้งนะคะ"
"สอนสั่งไปหัดจำไว้ด้วยไม่ใช่เอาแต่ขอโทษ"
"หนูจำได้แล้วค่ะ นะโมตัสสะ.."
"พอ!ฉันฟังจนจะเป็นเจ้าอาวาสอยู่แล้วเนี่ย"
สาวน้อยทำแก้มป่องอดอมยิ้มไม่ได้ เมื่อชายตรงหน้าฟัดเหวี่ยงแต่เขามักจะแวะเล่นมุกเสมอ รอยยิ้มแสนหวานส่งให้พร้อมกับเดินเข้าบ้านไป
หลายวันต่อจากนั้น
ทุกอย่างอยู่ในสภาวะปกติเนตรมิงค์ตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นมัธยมปลายเธอหยิบชุดมาลองสวมใส่แต่กลับมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
โต้มมม
"รีบเก็บเสื้อผ้าข้าวของเราจะย้ายไปอยู่ที่อื่น"
"เกิดอะไรขึ้นคะพ่อ..?"
"ไม่ต้องถามมากแล้วไปเก็บของให้อีกิฟท์ด้วยนะ พี่สาวแกกำลังจะกลับมาแต่ฉันกลัวว่าจะไม่ทัน"
"พะ พ่อ"
ฉันตะโกนตามหลังแต่พ่อรีบลุกลี้ลุกลนเกินคาดเหมือนหนีอะไรสักอย่าง แต่ด้วยความเป็นลูกจำเป็นต้องเชื่อฟังรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าใบใหญ่และต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าเพราะต้องไปเก็บของให้พี่สาวด้วย
"พ่อนะพ่อไม่น่าเลยกิฟท์กำลังคบกับผู้ชายแถวนี้ถ้าต้องไปก็เลิกกันน่ะสิ" เสียงบ่นอุบอิบ
"ไปอยู่จังหวัดใหม่จะได้เจอผู้ชายใหม่ยังไงล่ะลูก"
"ก็จริงของพ่อ"
"เอาเถอะว่าแต่เราค่อยคุยกันรีบไปจากที่นี่กันเถอะ"
หลังจากเนตรเก็บข้าวของเสร็จก็หอบหิ้วด้วยตัวคนเดียวทุกอย่างก่อนจะรับรู้ว่าพ่อยักยอกเงินบริษัทมาใช้เป็นจำนวนมาก เมื่อถูกจับได้จึงจะโดนแจ้งข้อหาพร้อมกับยึดทรัพย์จนต้องรีบหนีไปตั้งหลักในถิ่นต่างจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอน
"ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม" พ่อถามเสียงแข็งใส่ลูกสาวคนเล็กที่กำลังเหนื่อยหอบ
"หนูเก็บข้าวของจำเป็นและเอกสารเรียบร้อยแล้วค่ะพ่อ"
"เออดี เผื่อพวกมันดักรอคงอีกหลายปีที่จะไม่ได้กลับมาหรือไม่ก็อาจจะไม่กลับมาเลยก็ได้"
ผู้เป็นพ่อขนข้าวของใส่ท้ายกระบะรถเก๋งคันเก่าซึ่งเป็นมรดกชิ้นสุดท้าย
"พ่อทำไมไม่ขายบ้านนี้ล่ะ" กิฟท์ถามอย่างข้องใจเมื่อเห็นพ่อมองแต่บ้านที่กำลังจะจากไป
"ขายไม่ได้หรอกเป็นชื่อแม่ของเนตรมิงค์"
"เห็นแก่ตัวดีจังเลยนะบ้านก็ไม่ยอมเซ็นยกให้พ่อแถมยังหนีหายทิ้งอีเนรตไว้ให้อีก"
"ช่างหัวมันเถอะเรารีบไปกันก่อนที่พวกนั้นจะมาจับพ่อ"
หลังจากเก็บของเรียบร้อยเด็กหญิงเหลียวมองบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิดจากนั้นก็ค่อยๆ ขึ้นรถไปนั่งที่เบาะหลังส่วนพี่สาวนั่งเคียงข้างพ่ออยู่เบาะหน้า
บรื้นนนนน
รถแล่นออกไปได้สักพักแต่วันนี้มีตลาดนัดจึงทำให้การขยับเขยื้อนจราจรติดขัด
"ติดห่าอะไรนักหนาวะ เพิ่งจะกี่โมงกี่ยามเองเนี่ย" พ่อใจร้อนทั้งบ่นทั้งด่า สักพักเนตรก็นึกอะไรบางอย่างได้เธอจึงเขยิบตัวมานั่งติดกระจกฝั่งซ้ายแทน
ร้าน หาญทยานศึก
เรื่อย เรื่อย ~มาเลียง เลียง~ ฮื้อ อ๊า
เสียงดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่หน้าร้านสัก วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหล่าชายหนุ่มวัยมันมารวมตัวกันเพื่อสังสรรค์โดยมีสองเป็นหัวโจกเช่นเคย
"โซดามาให้กูหน่อยสิ" ผมชี้นิ้วก่อนจะคว้ามาผสมเหล้าที่อยู่ในแก้ว "เอาน้ำเปล่ามาด้วย"
"ปกติกินเพียววันนี้เสือกอยากผสมนะ"
"แล้วมันไปหนักส่วนไหนของมึงฮะ"
"ช่วยพูดจาดีกับกูหน่อยครับกูเพื่อนมึงนะ"
"เพื่อนไม่ใช่พอ!"
ปริ๊บบบ
ผมกำลังทะเลาะกับไอ้สองตามปกติแต่เสียงแตรทำให้ผละจากการโต้เถียง พวกผมเลี้ยวขวามองเพราะรถจอดยาวเหยียดกระทั่งบังเอิญเห็นสายตาคู่หนึ่งอยู่ในรถเก๋งคันเก่า
บางอย่างทำให้ผมชะงักเมื่อดวงตาใสซื่อนั้นเป็นของเด็กเนตรนารี..แต่วันนี้กลับนั่งอยู่ในรถตรงเบาะหลัง สักพักรอยยิ้มหวานก็ส่งตอบกลับมาให้ผมพร้อมกับมือน้อยยกขึ้นโบกในท่า บาย บาย อีกทั้งแววตาคล้ายจะมีน้ำใสคลออยู่
และนั่นทำให้ผมรู้สึกหดหู่คล้ายโลกนี้เหมือนจะหยุดหมุน
โดยที่ผมไม่รู้ว่าหลังจากวันนั้นที่ได้พบเจอกันกลับกลายเป็นครั้งสุดท้าย..