“เรื่องไม่ดีก็ไม่ต้องไปสอนน้องหรอกกุ้ง เดี๋ยวคะน้าก็ใจแตกกันพอดี” เมธาวินบอกเพราะรู้ว่าคณานางค์นั้นอ่อนต่อโลกขนาดไหน ตอนเจอเธอวันแรกแล้วรู้ว่าเธอเรียนคณะเดียวกันเขายังนึกแปลกใจ เพราะมันดูไม่เข้ากับเธอเลยสักนิด
“แค่ดื่มเบียร์จะใจแตกอะไรกันเล่า ถ้าไม่ให้สอนตอนนี้แล้วจะได้สอนตอนไหน พอขึ้นปีสามก็ต้องออกไปฝึกงานกันแล้ว เกิดอีกหน่อยคะน้าไปเที่ยวกับคนอื่นแล้วเจอผู้ชายมอมเหล้าขึ้นมาไม่แย่หรือไงล่ะ นายก็อย่าห่วงน้องมันมากนักเลย คะน้ามันโตแล้วนะ”
“แต่น้องเพิ่งจะสิบเก้าเองนะจะเข้าผับได้ยังไงกันล่ะ ตามกฎหมายเค้าให้คนที่อายุยี่สิบขึ้นไปถึงจะเข้าได้ไม่ใช่เหรอ”
“จริงด้วยสินะ งั้น...เอางี้ ไปแค่ร้านอาหารกึ่งผับละกัน แบบนั้นไม่ต้องตรวจบัตร เมาได้เหมือนกัน”
“นี่สรุปว่าจะให้น้องมันเมาให้ได้เลยใช่มั้ย”
“ก็ของมันต้องลองไง เอาน่า แกก็อย่าทำตัวเป็นป๊ามันเลย ถ้าห่วงน้องก็คอยช่วยกันดูแลอย่าให้มันโดนใครลากไปกินตับก็พอ”
“กินตับ? เรากินตับในผับไม่ได้เหรอคะ”
คำถามนั้นเล่นเอากัญญาดาและเมธาวินได้แต่หลุดขำออกมา ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นวางบนศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู โดยไม่สนใจเลยว่าสาวๆ แถวนั้นพากันอิจฉาคณานางค์ขนาดไหนที่เขากับเธอดูจะสนิทสนมกันแบบนี้
“เด็กหนอเด็ก คำว่ากินตับที่ไอ้กุ้งมันบอกน่ะ มันไม่ได้หมายถึงว่ากินตับจริงๆ หรอก แต่มันเป็นคำเปรียบเทียบน่ะความหมายจริงๆ ก็คือมีเซ็กส์นั่นแหละ” เขาบอกยิ้มๆ
“มะ...มีเซ็กส์เหรอคะ”
คณานางค์ถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้ก่อนที่แก้มขาวๆ จะเริ่มแดงก่ำขึ้นมาด้วยความอาย ส่วนกัญญาดาก็ได้แต่ยิ้มขันให้สาวน้อยไร้เดียงสาคนนี้
ถึงเธอจะไม่เคยมีประสบการณ์บนเตียงกับใครก็เถอะ แต่คำศัพท์ใต้สะดือเธอก็เข้าใจเป็นอย่างดีเพราะได้ยินพวกช่างที่อู่ซ่อมรถของบิดาคุยกันเป็นประจำ
“ไม่ต้องห่วงหรอก มีพี่อยู่ทั้งคนรับรองว่าไม่มีใครแตะต้องคะน้าได้แน่นอน” เมธาวินบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณค่ะ”
เธอมองสบดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม ยิ่งเมื่อเขาลูบหัวเธอเบาๆ ในใจมันก็รู้สึกหวิวๆ เหมือนจะเป็นลมเสียให้ได้
และน่าแปลกที่ความรู้สึกแบบนี้ มักจะเกิดขึ้นกับเมธาวินแค่คนเดียว เพราะต่อให้จะเคยโดนวฤทธิ์กับคีตกาลโอบไหล่หรือลูบหัวมาบ้าง แต่เธอกลับไม่ได้ตื่นเต้นแบบที่เมธาวินทำเลยสักนิด
คงเป็นเพราะว่าเธอแอบชอบเขามาตลอด ชอบตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกับเขาจนถึงตอนนี้ก็สองปีแล้ว...
“คุยอะไรกันจ๊ะเมียจ๋า ท่าทางสนุกเชียว”
เพียงแค่ได้ยินเสียงของวฤทธิ์ รอยยิ้มขบขันของกัญญาดาก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมาทันที
“ไม่ใช่เรื่องของนาย”
“มึงเลิกแหย่ไอ้กุ้งได้แล้ว แล้วไอ้โน้ตไปไหน ไหงมึงกลับมาคนเดียว” เมธาวินถามอย่างสงสัย
“มันไปซื้อน้ำเลยให้กูเอาก๋วยเตี๋ยวมาให้มึงก่อน”
บอกแล้ววฤทธิ์ก็เลื่อนชามก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งให้เพื่อนรัก
“นี่ป้าเค้าประชดกูเหรอวะถึงได้ให้ผักมาเต็มชามขนาดนี้น่ะ” เมธาวินมองชามที่เต็มไปด้วยผักจนมองไม่เห็นเส้นหรือลูกชิ้นเลยสักนิด
“ป้าเค้าไม่ได้ทำ นี่น้องเมย์หลานป้าเป็นคนทำ พอกูบอกว่าชามนี้เป็นของพี่โดมบอกว่าขอผักเยอะๆ น้องเค้าเลยจัดผักมาแทบหมดร้านเลย แล้วก็ฝากกูมาบอกมึงว่า ‘ขอให้พี่โดมกินให้อร่อยนะคะ’ แบบนี้น่ะ”
วฤทธิ์แกล้งบีบเสียงให้ดูเล็กลงเหมือนผู้หญิงจนกัญญาดาแทบสำลักน้ำที่กำลังดื่มเข้าไป เขาเลยได้หัวเราะร่วนก่อนจะลูบหลังเธอเหมือนห่วงใยนักหนา
“ค่อยๆ กินสิจ๊ะเมียจ๋า เดี๋ยวน้ำติดคอตายพอดี”
“ไม่ต้องมาแช่ง แล้วก็ไม่ต้องมาลูบด้วย ขนลุกเป็นบ้าเลย” เธอปัดมือเขาออกก่อนจะจัดการกับก๋วยเตี๋ยวของตัวเองต่อไป
“แล้วนี่จะคนได้มั้ยคะผักล้นชามขนาดนี้น่ะ” คณานางค์มองคนที่ไม่รู้จะจัดการกับผักพวกนี้ยังไงด้วยความสงสาร
“คะน้าแบ่งผักไปมั้ย เราก็ชอบกินผักไม่ใช่เหรอ”
“จะดีเหรอคะ น้องเค้าอุตส่าห์ทำมาให้พี่โดมเลยนะ”
“เค้าไม่รู้หรอก มานี่เอาชามคะน้ามาเดี๋ยวพี่แบ่งให้”
ว่าแล้วเขาก็ตักผักใส่ลงในชามก๋วยเตี๋ยวของเธอครึ่งหนึ่งทั้งยังใจดีแถมลูกชิ้นให้เธอด้วยเพราะไม่ใช่แค่ผักที่เขาได้มาเยอะเป็นพิเศษ ยังมีหมูสดกับลูกชิ้นที่ลอยอยู่เต็มชามจนนึกสงสารป้าเจ้าของร้านที่ดูจะขาดทุนกับชามนี้ไม่น้อยเลย
“พอแล้วค่ะ หนูกินไม่หมดหรอก” คณานางค์รีบดึงชามของตัวเองคืนมาก่อนที่เขาจะแบ่งให้เธอมากกว่านี้
“ขอลูกชิ้นสองลูกสิโดม” กัญญาดาเอื้อมมือไปกะจะคีบลูกชิ้นของเมธาวินมา แต่วฤทธิ์ก็รีบคว้ามือเธอไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องไปแย่งไอ้โดมมันกินหรอกเมียจ๋า เอาของผัวไปดีกว่านะ เนี่ยลูกชิ้นเอ็นด้วย เอ็นอุ่นๆ เลยน้า...” เขาบอกพร้อมกับแววตาเจ้าเล่ห์
“ไอ้ทุเรศ! เก็บเอาไว้กินคนเดียวเลย! ฉันไม่กินหรอกเอ็นอุ่นๆ ของนายน่ะ แค่คิดก็จะอ้วกแล้ว” แล้วกัญญาดาก็ยกชามขึ้นมาก่อนจะลุกไปนั่งข้างๆ คณานางค์แทนเพราะตอนแรกเธอนั่งฝั่งตรงข้ามกัน