“อืม เอานี่ ซื้อมาฝากทุกคนเลยนะ” เขาวางไอศกรีมทั้งหมดลงบนโต๊ะให้ทุกคนหยิบกันเอง เว้นถ้วยหนึ่งที่เขาหยิบขึ้นมาวางตรงหน้าคณานางค์
“นี่ของคะน้าครับ พี่จำได้ว่าเราชอบรสกะทิใช่รึเปล่า”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างที่เขาจำรสชาติไอศกรีมที่เธอชอบได้ ทั้งที่เธอก็ไม่ได้กินให้เขาดูบ่อยๆ
แต่เมธาวินก็เป็นแบบนี้ ใส่ใจทุกคน ดีกับทุกคนอย่างเท่าเทียมไม่ใช่แค่เธอคนเดียว
“เดี๋ยวสอบเสร็จมึงจะกลับเลยมั้ยไอ้โดม” วฤทธิ์ถามขึ้นขณะหยิบไอศกรีมรสช็อกโกแลตไปให้กัญญาดา เช่นเดียวกับของตัวเองซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะชอบกินรสนี้อยู่แล้ว ที่เหลือก็เป็นรสวนิลลาของคีตกาล
“ก็ว่าจะกลับไปอ่านหนังสือต่อน่ะ ทำไม? มึงจะชวนกูไปไหนอีก”
“ไปบ้านกูนี่แหละ ขี้เกียจเข้าไปคนเดียว เดี๋ยวแม่ก็คะยั้นคะยอให้ค้างอีก”
“แล้วมึงจะไปทำอะไรล่ะ”
“ไปเอากีตาร์ ตัวใหม่ที่ซื้อมาเล่นไม่เข้ามือเท่าไหร่ ไม่เหมือนตัวเก่าว่ะ เลยว่าจะให้มึงไปบ้านเป็นเพื่อนหน่อยน่ะ”
“แล้วไอ้โน้ตล่ะ” เมธาวินหันไปถามเพื่อนอีกคนหนึ่ง
“กูต้องไปซ้อมมวย วันนี้ซ้อมกับครูหน่อด้วยขาดไม่ได้เลย มะรืนก็จะขึ้นชกแล้ว” คีตกาลบอกอย่างอารมณ์ดี
“มึงจะชกอีกแล้วเหรอ ร้อนเงินหรือไงวะ เอาของกูก่อนมั้ยกูมีเยอะ” วฤทธิ์บอกเพราะครอบครัวของเขามีธุรกิจค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ แต่ลูกชายคนเล็กคนนี้กลับไม่สนใจจะรับช่วงต่อและอยากเป็นวิศวกรโยธามากกว่า เขาจึงได้ผิดใจกับบิดาเรื่อยมาทำให้ไม่อยากกลับบ้านและพักที่คอนโดหรูใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย แม้มารดาจะอยากให้เขากลับบ้านบ่อยๆ ก็ตาม
“กูไม่ได้ร้อนเงิน แค่ชอบความท้าทายน่ะ”
หนุ่มเซอร์บอกยิ้มๆ บ้านของเขาก็ใช่ว่าจะยากจนหรือขัดสนเรื่องเงินทอง แต่เขาชอบชกมวยมากและมักจะขึ้นสังเวียนหารายได้บ่อยๆ จนเพื่อนๆ พากันคิดว่าเด็กต่างจังหวัดอย่างเขามีฐานะไม่ค่อยดีนัก ซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกใครว่าครอบครัวทำกิจการอะไรอยู่ที่ชลบุรีในตอนนี้
“งั้นก็เหลือแต่มึงแล้วไอ้โดม ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ”
“เออๆ ไปก็ไป แล้วไปส่งกูกลับบ้านด้วยล่ะ”
“ได้คร้าบ”
วฤทธิ์ลากเสียงยาวแล้วพวกเขาก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อเพราะใกล้จะถึงเวลาเข้าห้องสอบแล้ว หลังจากกินไอศกรีมจนหมดจึงได้พากันกลับไปที่ตึกคณะวิศวกรรมที่อยู่ห่างไปไกลพอสมควร โดยกัญญาดานั่งมินิคูเปอร์สีชมพูของคณานางค์ไปเหมือนตอนขามา ส่วนเมธาวินและคีตกาลก็นั่งรถแอสตันมาร์ตินของวฤทธิ์กลับไปเช่นกัน
หลายวันต่อมา
“กลับมาแล้วเหรอครับพี่ดรีม ผมทำกับข้าวไว้รอแน่ะ พี่จะกินเลยมั้ยครับ หรือไปอาบน้ำก่อน” เมธาวินเงยหน้าจากหนังสือในมือแล้วส่งยิ้มให้พี่สาว เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาในบ้าน หลังได้ยินเสียงรถของเธอเคลื่อนเข้ามา
เขารู้ว่าเธอต้องทำงานหนักเพื่อส่งให้เขาได้เรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ เขาจึงขยันและตั้งใจเรียนเพราะไม่อยากให้เธอรู้สึกผิดหวังที่รับน้องชายต่างแม่คนนี้มาเลี้ยงดูตั้งแต่พ่อของพวกเขาเสียไป
ส่วนแม่ของเขานั้นทิ้งไปแต่งงานใหม่ตั้งแต่เขามีอายุเพียงห้าขวบ เขาจึงรักและเคารพเธอเหมือนกับแม่แท้ๆ มากกว่าจะเห็นเธอเป็นพี่สาวเสียอีก
“ขออาบน้ำก่อนก็แล้วกันจ้ะ แล้วโดมกินหรือยังล่ะ”
เหมือนฝัน หรือ ดรีม พี่สาววัยยี่สิบหกปีกลับถึงบ้านในเวลาเกือบสองทุ่มเพราะสภาพการจราจรที่ติดขัด อีกทั้งบ้านของเธอยังอยู่ไกลจากบริษัทพอสมควร แม้ว่าเงินเดือนเลขาฯ ของเธอจะสูงถึงเดือนละห้าหมื่นบาทพอให้เธอสามารถผ่อนบ้านใกล้ที่ทำงานได้แต่รายจ่ายของเธอก็มีหลายอย่าง ทำให้การพักที่บ้านซึ่งเป็นมรดกเพียงชิ้นเดียวที่พ่อแม่ทิ้งไว้จึงช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า
“ยังครับ ผมรอกินพร้อมพี่ดรีม”
“โอเค งั้นพี่จะรีบอาบนะ”
“ครับ เดี๋ยวผมไปตั้งโต๊ะรอนะ”
“จ้ะ” เหมือนฝันพยักหน้ารับก่อนจะก้าวขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านปูนสองชั้นที่มีอายุมากกว่ายี่สิบปี แต่เธอก็หมั่นดูแลและปรับปรุงมาตลอด ล่าสุดเธอก็ใช้เงินโบนัสที่ได้จากปีก่อนมารีโนเวทใหม่ในบางส่วนให้มีความเป็นมินิมอลมากขึ้น มันก็เลยยังสวยงามและสะอาดสะอ้านไม่ต่างจากบ้านใหม่ แถมยังมีพื้นที่กว้างขวางถึงสองร้อยตารางวา เธอจึงปลูกต้นไม้เอาไว้รอบบ้านและมีสวนดอกไม้เล็กๆ หน้าบ้านเพื่อผ่อนคลายในวันหยุด
“วันนี้ผลสอบกลางภาคออกแล้วนะครับ ผมได้คะแนนเกือบเต็มด้วย นี่ครับ” เขานำผลคะแนนสอบมาให้พี่สาวได้ดูด้วยความภาคภูมิใจขณะนั่งกินมื้อเย็นด้วยกันในเวลาเกือบสามทุ่ม
“เก่งมากจ้ะ แต่ก็อย่าเครียดมากนะ พี่เห็นเราอ่านหนังสือดึกทุกคืนเดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหวเอา”
“ครับ ช่วงนี้ไม่มีสอบแล้วผมก็ไม่นอนดึกแล้วล่ะครับ แล้ววันนี้ทำไมกลับช้าจังล่ะครับ งานเยอะเหรอ”
“ก็ด้วยแหละจ้ะ แต่เหตุผลหลักก็คือรถติดน่ะ”
“อีกหน่อยถ้าผมเรียนจบแล้วผมจะทำงานเก็บเงินแล้วเราไปซื้อบ้านอยู่ใกล้ๆ บริษัทพี่ดรีมกันนะครับ ผมเห็นพี่ต้องขับรถไกลๆ แล้วเหนื่อยแทนเลย”