ตอนที่ 9 แหวนปานจื่อ

3234 Words
จ่างซุนอู๋จี้ให้นางพักในห้องบรรทมตลอดสามวันมานี้ อ้วนเสี้ยวได้บอกกับนางว่า ภายในห้องบรรทมของไท่จื่อไม่เคยมีผิงเฟยคนไหนได้เข้ามานอนบนแท่นบรรทมยกเว้นนางเพียงคนเดียว และไท่จื่อไม่ยอมมีลูกที่เกิดจากผิงเฟยหรือนางกำนัล รุ่ยอันบอกอีกว่า เมื่อไท่จื่อได้หลับนอนกับพวกนาง วันรุ่งขึ้นพวกนางต้องดื่มยาขับร้อนโดยทันที ซู่ซู่จึงคิดต่ออีกว่า นี้อาจเป็นสาเหตุให้เยว่ชิงเป็นกังวลมาโดยตลอดเรื่องสืบทอดบัลลังก์ต่อจากเขา จึงให้นางมาอยู่ตงกงเพื่อทำความสนิทสนมกับจ่างซุนอู๋จี้ก็เป็นได้ “เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ” เสียงของชายหนุ่มเอ่ยถามนาง นางรู้โดยทันทีว่าเป็นเสียงของจ่างซุนอู๋จี้ นางหันไปตามเสียงขณะที่เขาก้าวเดินมานั่งตรงตั่งยกสูงมีฟูกรองนั่ง เป็นที่นั่งของนางเป็นประจำ นางที่นั่งตรงตั่งเตียงลุกขึ้นยืนถวายบังคม “ไท่จื่อ” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตามสบาย ว่าแต่เจ้าสนใจเรื่องตำราพิชัยสงครามด้วยเหรอ” เขาเอ่ยถามนาง ขณะที่หยิบม้วนตำรากลางออกมองเนื้อหากลยุทธ์รบทัพจับศึก ที่แบ่งออกเป็นหมวดหมู่อย่างเห็นได้ชัด “เตี่ยของหม่อมฉันชอบให้หม่อมฉันศึกษาตำราหลายๆ แขนง โดยเฉพาะวิชาป้องกันตัว” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาร่วงรู้ว่านางยังคงอาลัยผู้คนในครอบครัวนาง ใครบ้างจะไม่เจ็บปวดใจกับเรื่องราวที่ถูกฆ่ายกครัวและชาวเมืองก็ตายด้วยกันหมดสิ้น เขาจึงเปลี่ยนเรื่องอื่น “เหนียงชินของข้าบอกว่า เจ้าชอบเล่นกู่ฉินได้ไพเราะ เจ้าเล่นกู่ฉินให้ข้าฟังได้หรือไม่” เขาเอ่ยถามนางด้วยรอยยิ้ม เขาล่วงรู้ว่าเมื่อวานนางได้เล่นกู่ฉินให้เยว่ชิงฟัง เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่นางโปรดปรานอย่างยิ่ง และยังเป็นเครื่องดนตรีที่ไป๋เค่อสอนนางเล่นเป็นชิ้นแรก “ได้เพคะ” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม หยวนเจินขันทีของอู่จี้นำเครื่องดนตรีกู่ฉินมาวางบนพื้น และนำฟูกมาวางบนพื้นตำหนัก ซู่ซู่จึงลุกขึ้นยืนก้าวเดินมานั่งบนฟูกนั่ง นางลองดีดสายกู่ฉิน และปรับสายเพื่อไม่ให้เพี้ยน แล้วใช้นิ้วเรียวดีดเบาๆ เสียงกู่ฉินอันไพเราะ ทำให้เขานึกถึงเสียงของสายน้ำตกไหลกระทบลงสู่พื้นพสุธา ย่างกายร่ายรำแกว่งกระบี่ที่อยู่ในมืออย่างองอาจ โดยมีสาวงามนั่งดีดกู่ฉินอยู่ริมสายธารน้ำตกใส่สะอาดทอดยาวในหุบเขา เขายังทอดสายตามองนางที่กำลังดีดกู่ฉิน ในมือหนาของเขาวางตำราลงขณะที่นางดีดดนตรีจบ เขาเผยรอยยิ้มมองนางเป็นยิ้มที่จริงใจและมีความสุขที่นางเล่นได้ไพเราะไม่ต่างกับนักสังคีตในราชสำนัก “เจ้าเล่นกูฉินได้ไพเราะสมคำร่ำลือจริงๆ” เขาเอ่ยบอกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เตี่ยของหม่อมฉันได้สอนหม่อมฉันเล่นกู่ฉินยังไม่ถึงสิบขวบปี” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แฝงไปด้วยความเศร้า เขาก้าวเดินไปหานางที่นั่งอยู่และนั่งคุกเข่าลง นางถอยห่างเล็กน้อย นางรู้ว่านางอาจจะหวาดกลัวเขาอยู่ เขาใช้มือหนาจับมือเรียวที่เย็นฉ่ำ “ข้าจะทำทุกวิถีทางคืนความเป็นธรรมให้เจ้าและชาวเมืองลี่ ตราบใดที่ข้าจ่างซุนอู๋จี้ยังไม่ตาย ข้าจะไม่ยอมให้หวังอวี้เจ้าแคว้นหานได้อยู่เป็นสุขแน่นอน” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง คำพูดที่จริงจังและหนักแน่นของเขา ทำให้นางหลังน้ำตาออกมาอย่างเงียบๆ นางจดจำภาพคนในครอบครัวตายหมดสิ้น และผู้คนในเมืองตายทั้งหมดเช่นกัน ถ้าข้าเป็นชายข้าจะตีแคว้นหานโดยราบคาบโดยไม่ต้องยืมขุนศึกและเหล่าทหารจากไท่จื่อเพื่อบุกโจมตีแคว้นหาน วันนี้อากาศสดใสหลังจากหิมะตกหนักมาทั้งคืน ไป๋ซู่ซู่ก้าวเดินออกมาจากเถาฮวากงมายังสวนพร้อมกับม่านถัวและรุ่ยอัน ส่วนอ้วนเสี้ยวเก็บที่นอนและจัดเรือนนอนให้กับเจ้านาย ซู่ซู่ทอดสายตามองเหล่าผิงเฟยที่อยู่กันมากมายประมาณสิบกว่าคน แต่ที่คนที่นางสนิทด้วยก็มีไม่กี่คน อย่างเช่นว่านซีซีฟูเหริน บุตรสาวของแม่ทัพว่านเป่า ตำแหน่งเป็นโหวเมื่อปีก่อน ว่านซีซีถือว่าเป็นสหายที่ไป๋ซู่ซู่สนิทมากคนหนึ่งเลย เพราะนางเป็นคนที่ร่าเริง ต่างจากนางที่ไม่ค่อยพูด นางจะสรรหาคำพูดและเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้นางฟัง ทำให้นางรู้สึกดีขึ้น นอกจากว่านซีซีแล้วนางยังมีสหายนามว่าหลิงเสี้ยนฟูเหรินนางมีอุปนิสัยร่าเริงเป็นที่รักของบรรดาผิงเฟยและเหล่าข้าหลวง ชอบเล่นหมากล้อม จับเข่านินทาคู่กับว่านซีซี หลิงเสี้ยนเองบุตรสาวเจ้าเมืองตงเฉิน อีกทั้งหลิงกวนเตี่ยของนางเป็นสหายกับไป๋เค่อเตี่ยของไป๋ซีซีตั้งแต่เยาว์วัย และสหายคนสนิทของไป๋ซู่ซู่อีกคนนามว่าหยางหลินหลัง นางมีอุปนิสัยเฮฮาเช่นเดียวกับสหายทั้งสองคนที่กล่าวมา แต่นางกินเก่งเป็นที่หนึ่ง แต่นางไม่ได้มีน้ำหนักเยอะแต่อย่างใด รูปร่างของนางค่อนข้างผอมบางเสียด้วยซ้ำ แต่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน นางจะแสวงหาของกินใหม่ๆ ให้ครัวหลวงทำให้กิน ถึงพวกนางทั้งสามจะเป็นสหายของไป๋ซู่ซู่ แต่ซู่ซู่เองกลับเป็นคนนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดจา เมื่อเข้าวงสนทนาจะเอาแต่เงียบนั่งฟังพวกนางพูดคุยกันเสียมากกว่า นี่เป็นสาเหตุให้ม่านถัวต้องพาซู่ซู่ออกมานั่งกับพวกนาง เพื่อไม่ให้นายอยู่กับตัวเองจนเกินไป “ซู่ซู่มานี่ก่อน มาเล่าให้ข้าฟังสิว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ได้ข่าวว่าเจ้าได้ถวายตัวมาหลายวันแล้ว แล้วอยู่กับต้าหวางทุกค่ำคืน จนพวกข้าเริ่มอิจฉาเจ้าแล้วเนี่ย” ว่านซีซีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นใคร่รู้ ดึงมือซู่ซู่นั่งลงข้างๆ ตรงข้ามของนางมีหลินหลังและหลิงเสี้ยนนั่งอยู่พวกนางยื่นใบหน้ามาด้วยความอยากรู้เช่นกัน ขณะที่ตรงหน้าพวกนางมีหม้อต้มก่อฟืน และยังมีจานและช้อนวางอยู่ รวมไปถึงผักและเนื้อหมู เนื้อไก่ที่หมักมาเป็นอย่างดี “ไท่จื่อไปนอนที่ห้องหนังสือทุกคืน” ซู่ซู่เอ่ยบอกเช่นนี้ พวกนางมีสีหน้าเซ็งและถอนหายใจ “เป็นไปไม่ได้พระองค์จะเสพสังวาสกับผิงเฟยทุกค่ำคืน แต่ทำไมพระองค์กลับไปนอนที่ห้องหนังสือ ข้ากลับรู้สึกสงสัยยิ่งนัก” หลิงเสี้ยนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะว่าเรื่องที่จ่างซุนอู๋จี้นอนกับผิงเฟยทุกค่ำคืนล่วงรู้ทั้งตงกง “พระองค์อาจจะไปนอนกับฟูเหรินคนอื่นก็ได้นะ” ซู่ซู่เอ่ยบอกเช่นนี้ “ถ้าจะองค์จะไปนอนกับใครเช้าวันรุ่งขึ้นพวกนางก็ต้องดื่มยาขับร้อน” หลินหลังเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ยาขับร้อนที่ว่า คือ ยาไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ใช่ไหม” หลิงเสี้ยนเอ่ยถามขึ้นมา “ไท่จื่ออยากได้หวางเย่ที่เกิดจากไท่จื่อเฟยเท่านั้น คนอื่นอย่าได้หวัง” ว่านซีซีเอ่ยบอก แล้วเอาหมูจุ่มในหม้อเพียงชั่วครู่ และนำหมูเข้าปาก “ยาตัวนี้มีผลเสียไหม” หลิงเสี้ยนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “มีสิ ถ้าดื่มบ่อยๆ อาจจะไม่ตั้งครรภ์ตลอดชีวิต หรือแย่ไปกว่านั้นถ้าใช้เกินขนาดอาจถึงตายได้” ว่านซีซีเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่เป็นสาเหตุที่พวกข้าไม่อยากถวายตัว” หลินหลังเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้งว่านซีซีและหลิงเสี้ยนพยักหน้าพร้อมกัน ไท่จื่อไม่ยอมแต่งตั้งใครเป็นไท่จื่อเฟยเลยตั้งแต่ได้ตำแหน่งนี้มา อีกไม่นานก็จะครองราชย์เป็นต้าหวางแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าผิงเฟยคนใดจะได้เป็นหวางโฮ่วของเขาสักคน หลังจากที่ไป๋ซู่ซู่กลับมาจากอุทยานหลวงนางก็กินอาหารที่นางกำนัลและข้าหลวงจัดให้ทุกครั้ง เมื่อกินอาหารเสร็จสิ้น นางกำนัลก็เปลี่ยนชุดให้นางสวมใส่เข้านอนในยามค่ำคืน นางสวมใส่ชุดสีขาวนั่งอยู่บนตั่งรับรองในห้องโถง อ้วนเสี้ยวนำน้ำชามาให้ซู่ซู่ “ขอบใจ” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม “ไท่จื่อเสด็จ” เสียงของรุ่ยอันเอ่ยบอกเช่นนี้ ซู่ซู่และเหล่านางกำนัลในตำหนักต่างเดินออกมาหน้าห้องโถง นางเห็นว่าจ่างซุนอู๋จี้ก้าวเดินเข้ามา นางใช้มือเรียวขวาทับซ้ายผสานกันโน้มตัวเล็กน้อยถวายบังคม “ไท่จื่อ” ซู่ซู่และเหล่าข้าหลวงเอ่ยบอกพร้อมกัน “ไม่ต้องมากพิธี” อู๋จี้เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม แล้วนั่งลงบนตั่งนั่งยาวในห้องโถง “ไท่จื่อมีสิ่งใดจะรับสั่งเพคะ ถึงมาหาหม่อมฉันในยามวิกาลเช่นนี้” ซู่ซู่เอ่ยถามด้วยความสงสัย มองเขาที่นำถ้วยที่คว่ำอยู่หงายขึ้นนำกาน้ำชาที่อยู่บนเตาร้อนกรุ่นรินใส่ถ้วย “รุ่ยอัน” อู๋จี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พระเจ้าค่ะ ทุกคนคุกเข่ารับราชโองการ” รุ่ยอันเอ่ยบอกเช่นนี้ ทุกคนจึงนั่งคุกเข่าลง เช่นนี้กับไป๋ซู่ซู่ที่นั่งคุกเข่าลงกับตำหนัก ยกเว้นอู๋จี้ที่ดื่มน้ำชาด้วยท่าทีเรียบเฉย “ข้าจ่างซุนอู๋จี้ ไท่จื่อแห่งแคว้นซู มีบัญชาให้สตรีสกุลไป๋ นามไป๋ซู่ซู่ ผู้มีคุณธรรม จิตใจเมตตา ข้าจึงให้ไป๋ซู่ซู่รับตำแหน่งเป็นไท่จื่อเฟย ในกาลข้างหน้าจะได้เป็นหวางโฮ่วประมุขฝ่ายใน จบราชโองการ” รุ่ยอันเอ่ยบอก ทำให้ซู่ซู่ตกใจในเนื้อหาพระราชโองการที่แต่งตั้งให้นางเป็นหวางโฮ่ว “ขอบพระทัยเร็วเข้าพระเจ้าค่ะ” รุ่ยอันเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม มองซู่ซู่ที่มีสีหน้าตกใจไม่หาย “ไท่จื่อ” ซู่ซู่เอ่ยเรียกอู๋จี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉยมองถ้วยน้ำชาในมือ “หม่อมฉันดีใจด้วยเพคะ / พระเจ้าค่ะ” เหล่านางข้าหลวงและขันทีเอ่ยบอกพร้อมกันด้วยความยินดี “ขอบพระทัยเพคะไท่จื่อ แต่ว่าตำแหน่งนี้พระองค์ควรให้สวี่ฮุ่ยฟูเหริน ถึงอย่างไรนางก็เป็นที่โปรดปรานของพระองค์” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าโปรดปรานนาง” อู๋จี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หม่อมฉันได้ยินมาว่าสวี่ฮุ่ยฟูเหรินมีรูปโฉมงดงามกว่าผิงเฟยนางใดในตงกงแห่งนี้ อีกทั้งพระองค์เสด็จไปประทับในเรือนอิงฮวาอยู่บ่อยครั้งมากกว่าผิงเฟยคนอื่นๆ” ซู่ซู่เอ่ยบอกเช่นนี้ ตามที่นางล่วงรู้จากสหายทั้งสามของนาง อีกทั้งสวี่ฮุ่ยมีอุปนิสัยสงบเสงี่ยมไม่สุงสิงกับผู้ใด และชอบแบ่งปันสิ่งของที่ได้รับจากอู๋จี้และได้จากเตี่ยของนางให้แก่ผิงเฟยคนอื่นๆ เหมือนเป็นการผูกมิตรมากกว่าสร้างศัตรู “ข้าต้องการให้เจ้า ข้าไม่เคยเปลี่ยนสิ่งที่ข้าพูดและสั่งออกไป ต่อไปนี้ฝ่ายในข้ายกให้เจ้าปกครอง ข้าจะไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของเจ้า และเจ้าเองก็เตรียมตัวเป็นหวางโฮ่วอีกเจ็ดวันข้างหน้าพร้อมกับวันที่ข้าครองราชย์” อู๋จี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แต่ว่า...” “ไม่มีแต่ เจ้าขัดขืนข้ามาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เจ้าจะขัดขืนไม่ได้” อู๋จี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง นางจึงไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีกเลยได้แต่นิ่งเงียบแต่เพียงลำพังทำให้บรรยากาศภายในตำหนักเงียบสงัด มีเพียงเสียงนกและเสียงของสัตว์ขับขานอยู่ด้านนอกตำหนัก “มาหาข้า” อู๋จี้เรียกซู่ซู่ด้วยการกวักมือ นางจึงก้าวเดินไปหาเขา เขาใช้มือตบตั่งข้างๆ เขา นางจึงนั่งลงตรงนั้น เขาถอดแหวนหยกออกจากนิ้วโป้งส่งให้นาง นางมองด้วยความงวยงงว่าทำไมเขาถึงมอบแหวนวงนี้ให้นาง “ข้าให้เจ้าติดตัวเอาไว้” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แหวนปานจื่อของไท่จื่อ หม่อมฉันรับไว้ไม่ได้หรอก” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขากลับจับมือนางที่เย็นฉ่ำแล้ววางแหวนบนมือนิ้วโป้งด้านขวาของนาง “ข้าให้แล้ว ข้าไม่ขอรับคืน ดูแลให้ดีด้วย เพราะข้ารักของๆ ข้าทุกชิ้น ข้าจำได้ทุกอย่างไม่ว่าข้าจะให้ใครไปก็ตาม” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เช่นนั้นหม่อมฉันจะรักษาเป็นอย่างดี” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้านอนเถิด ข้ายังมีฎีกาที่ต้องสะสางอีก” เขาเอ่ยบอกเช่นนี้ แล้วลุกขึ้นจากตั้งนั่ง นางลุกขึ้นยืนแล้วย่อตัวเล็กน้อย “น้อมส่งเสด็จเพคะ” นางทอดสายตามองเขาที่ก้าวเดินออกไปจากตำหนัก นางยกมือเรียวขึ้นมามองแหวนปานจื่อบนมือเรียวของนาง ทำให้นางเผยรอยยิ้มออกมา โดยที่นางไม่รู้ตัว เช้าวันต่อมาซู่ซู่ตื่นลืมตาช้าๆ ลุกขึ้นนั่งมองเหล่านางกำนัลให้นางบ้วนปากและเช็ดหน้า นางกลับเห็นชุดหงส์สีดำแขวนอยู่กลางห้องเป็นชุดที่วิจิตรงดงามประเมินค่ามิได้ นางจึงลุกขึ้นไปดูชุดสีดำชุดนี้ มันปักด้วยดิ้นทองคำลายหงส์ทั้งหมด ตรงโต๊ะมีกล่องสีดำลายหงส์สีแดง นางจึงเปิดกล่องออก ทำให้นางเห็นเครื่องหัวมากชิ้นเป็นทองคำ พลอยแดง และหยกสีเขียวและหยกสีขาวเลอค่าเหมาะสำหรับหวางโฮ่ว นางคิดว่าสิ่งของเหล่านี้คงเตรียมการไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือน สิ่งที่นางสงสัยยิ่งกว่าใครกันที่วางหมากให้นางรับตำแหน่งหวางโฮ่ว หรือจะเป็นเยว่ชิงหวางโฮ่ว อดีตหวางโฮ่วของต้าหวางพระองค์ก่อน หรือไม่ก็เป็นจ่างซุนอู๋จี้ไท่จื่อ แต่จะเป็นไปได้หรือ นางอยู่กับเขาในตำหนักไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์เลย เขาเตรียมสิ่งของมากมายภายในคืนเดียวในเป็นไปได้หรือ “ไท่จื่อเตรียมการเรื่องนี้มาเป็นเดือนแล้วเพคะ แต่ไม่มีใครล่วงรู้ ขนาดไท่โฮ่วยังไม่รู้เรื่องนี้เลยเพคะ” อ้วนเสี้ยวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม “เดือนที่แล้วข้ายังไม่เคยรู้จักไท่จื่อเสียด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงต้องการให้ข้าเป็นหวางโฮ่ว” ซู่ซู่เอ่ยถามด้วยความสงสัย “อาจเป็นเพราะเจ้าเมืองลี่เสียชีวิตปกป้องแคว้นซู่จึงให้ฟูเหรินได้เป็นหวางโฮ่ว” รุ่ยอันเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม “หวางโฮ่วเสด็จ” เสียงของขันทีดังขึ้น ม่านถัวนำชุดคลุมสีม่วงมาสวมทับชุดสีขาว ซู่ซู่จึงก้าวเดินออกจากห้องนอนมายังห้องโถง ซู่ซู่มองไปยังเยว่ชิงที่เผยรอยยิ้มมองนาง และถวายบังคมเยว่ชิงทันทีพร้อมกับเหล่าข้าหลวงในตำหนัก “หวางโฮ่ว เชิญเสด็จมาประทับด้านในเพคะ” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม เยว่ชิงก้าวเดินมานั่งบนตั่งที่มีฟูกวางอยู่ ซึ่งเป็นฟูกที่ซู่ซู่นั่งเป็นประจำ ม่านถัวรินน้ำชาใส่ถ้วยให้เยว่ชิง เยว่ชิงรับไว้แล้วดื่มเล็กน้อย “หวางโฮ่ว ไม่ต้องเสด็จมาหาหม่อมฉันก็ได้เพคะ หม่อมฉันว่าจะไปหาพระนางที่ตำหนัก” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม “ซู่ซู่ ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะ ที่เจ้าจะเป็นหวางโฮ่ว” เยว่ชิงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันไม่รู้ว่าไท่จื่อจะเลือกหม่อมฉันไว้แล้ว เพราะว่าหม่อมฉันกับพระองค์พบเจอกันเอง” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเองก็แอบแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมจี้เอ๋อร์จึงตัดสินใจรวดเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าเขาจะคิดล่วงหน้าเป็นเดือนแล้วว่าจะให้เจ้าเป็นหวางโฮ่ว” เยว่ชิงเอ่ยบอกด้วยความสงสัย “หม่อมฉันเองจะถามเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ไท่จื่อไม่ให้หม่อมฉันถามเพคะ” ซู่ซู่เอ่ยบอก “ซู่เอ๋อร์ ในเมื่อจี้เอ๋อร์วางใจให้เจ้าเป็นหวางโฮ่ว เจ้าเองทำหน้าที่นี้ให้ดี อย่าทำให้เขาผิดหวัง” เยว่ชิงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันจะทำหน้าที่ให้สมกับที่ไท่จื่อได้ไว้วางใจเพคะ” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มเช่นกัน แต่ในใจของนางรู้สึกหวาดวิตกว่าการที่นางได้เป็นหวางโฮ่วอาจจะทำให้ใครไม่พอใจหรือไม่ อย่าที่รู้กันดีว่าภายในตงกงแห่งนี้มีเผิงเฟยไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน หนึ่งในนั้นอาจจะอยากครอบครองตำแหน่งนี้ และอาจจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายนางอยู่ก็ได้ “ยินดีด้วยเพคะ หวางโฮ่ว” ซู่ซู่ก้าวเดินออกมาจากเถาฮวากงทอดสายตามองเพื่อนๆ ของนาง ผิงเฟยและเหล่าข้าหลวงที่ถวายบังคมนาง ซู่ซู่ประคองว่านซีซี หลิงเสี้ยน และหยางหลินหลังลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าทำอะไรกัน ข้ายังไม่ได้เป็นหวางโฮ่วเสียหน่อย” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใกล้วันขึ้นครองราชย์ของต้าหวางแล้ว พระราชโองการก็ออกมาแล้ว ต่อไปพวกข้า ไม่ใช่สิ ต้องใช้คำว่าหม่อมฉันกับหวางโฮ่ว ต้าหวางโปรดปรานเจ้ามากเลยนะ ข้าดีใจด้วย ดีว่าที่พวกข้าต้องมีหวางโฮ่วที่ชื่อสวี่ฮุ่ย” หลินหลังเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นางก็อยู่ส่วนนาง เจ้าจะไปพูดถึงนางทำไม” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อวานนางกำนัลคนโปรดของนางพึ่งตายไป ทำอะไรไม่พอใจนางสักอย่าง นางปิดข่าวอยู่” ว่านซีซีเอ่ยบอก “ข่าวลือข่าวเล่าอ้างเจ้าอย่าไปสนใจเลย” ซู่ซู่เอ่ยบอก “เจ้าก็ระวังตัวให้ดี นางอยากได้ตำแหน่งหวางโฮ่วมานานแล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่ปลอดภัย” หลิงเสี้ยนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะระวังตัวให้ดี พวกเจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลยนะ” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม ภายใต้รอยยิ้มของซู่ซู่ยังมีความหนักใจอยู่บ้างที่ต้องรับตำแหน่งหวางโฮ่ว อีกทั้งยังสร้างความเกลียดชังและริษยาให้กับหญิงอีกผู้หนึ่งที่อยากเป็นใหญ่ในฝ่ายใน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD