สามวันก่อนวันขึ้นครองราชย์ของจ่างซุนอู๋จี้และงานอภิเษกแต่งตั้งหวางโฮ่วซึ่เป็นวันเดียวกัน กองพิธีการทำงานกันอย่างขะมักเขม้นในการเตรียมงานอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ เหล่าข้าหลวงและผิงเฟยต่างตื่นเต้นกับพระราชพิธีที่นานๆ ครั้งจะได้จัด ครั้งล่าสุดที่จัดงานขึ้นครองราชย์ก็เมื่อยี่สิบกว่าปีที่จ่างซุนเซี่ยขึ้นครองราชย์
ซู่ซู่เองก็ต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ เพราะนางต้องเป็นหวางโฮ่วประมุขฝ่ายใน จึงมีพิธีการมากกว่าคนอื่นเขา ทำให้นางอยู่แต่ในตำหนักไม่ได้ออกไปไหนเลย ส่วนจ่างซุนอู่จี้ก็ประชุมกับเหล่าขุนนางเรื่องบุกโจมตีแคว้นหานที่จะเกิดขึ้นอีกสามเดือนข้างหน้า นางได้ยินมาว่าอู๋จี้จะนำทัพไปตีด้วยตัวเอง เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าขุนทหารเช่นทุกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ก่อนที่เขาจะเป็นไท่จื่อก็ผ่านสมรภูมิมาไม่น้อยเลย
“คิดสิ่งใดอยู่หรือเพคะ” เสียงของม่านถัวทำให้ซู่ซู่หลุดออกจากภวังค์ หันกลับมามองม่านถัวที่กำลังปักปิ่นบนหัวซู่ซู่
"ไม่มีอะไร" ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม มองตัวเองในกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของนาง
"พระนางอยากอาบน้ำไหมพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะเตรียมห้องอาบน้ำไว้ให้" รุ่ยอันเอ่ยถามนาง
“ข้าอยากไปเดินเล่นในอุทยานหลวงเสียหน่อย ข้าเองก็ไม่ได้ออกจากตงกงมาหลายเพลา เห็นว่าโบตั๋นผลิบานแล้ว ข้าอาจจะไม่ได้เดินที่นั่นสักระยะหนึ่งแล้ว เพราะห่างจากเจียวฟางกงมากนัก” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน มองตนเองในกระจกเงา อีกทั้งกลางแขนทั้งสองข้าง โดยมีนางกำนัลและข้าหลวงกำลังสวมชุดสีน้ำเงินลายดอกกล้วยไม้ที่ได้ตัดเย็บมาใหม่
“ไท่จื่อมีรับสั่งให้ฟูเหรินอยู่แต่ในตำหนัก” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักใจ
“ข้าอยากรับลมและแดดอ่อนๆ บ้าง จะให้ข้าอยู่แต่ในตำหนักอย่างหรือ ข้าไม่เอาหรอก” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เช่นนั้นต้องใส่เสื้อคลุมหนังหมีขาวที่ไท่จื่อพระราชทานให้เมื่อวานนะเพคะ” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม ซู่ซู่พยักหน้าเบาๆ ม่านถัววางเสื้อหนังหมีคลุมไหล่บนไหล่ของซู่ซู่ทั้งสองข้าง ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก
ไป๋ซู่ซู่ก้าวเดินเข้ามาในอุทยานหลวงกับนางกำนัลสาวเพียงสองคนเท่านั้น นางไม่ชอบให้เหล่าขันทีและนางกำนัลตามเป็นขบวนเช่นนางกำนัลตำหนักอื่น อีกทั้งอ้วนเสี้ยวทำความสะอาดตำหนักพร้อมกับนางกำนัลอีกแปดคน เพราะอ้วนเสี้ยวเป็นคนเจ้าระเบียบและรักสะอาดเช่นเดียวกับซู่ซู่ ส่วนรุ่ยอันก็ไปห้องครัวเพื่อไปจัดแจงอาหารพร้อมกับนางกำนัลอีกสองคนเพื่อยกขึ้นมาให้ซู่ซู่ได้กิน
ระหว่างที่ไป๋ซู่ซู่ก้าวเดินมาตลอดทาง นางพบเจอเหล่าผิงเฟยและเหล่าข้าหลวง พวกนางต่างถวายบังคมนางเช่นทุกครั้ง เพราะรู้ว่าไป๋ซู่ซู่ต้องมาเป็นประมุขฝ่ายในเป็นที่ยำเกรงของพวกนาง
ไป๋ซู่ซู่ก้าวเดินมาจนถึงศาลาตรงทะเลสาบ มีสะพานทอดบนทะเลสาบประมาณสองสะพาน ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของพระราชวัง และทิศใต้ของพระราชวัง ซู่ซู่ทอดสายตามองต้นท้อที่บานเต็มต้นเช่นเดียวกับดอกเหมยบานสะพรั่งเต็มต้นในฤดูหนาวเช่นนี้ ทำให้น้ำในทะเลสาบเย็นจับขั้วหัวใจ แต่ยังคงเห็นนกน้ำมากินปลาที่แหวกว่ายใต้สายน้ำ บรรยากาศช่างน่าภิรมย์ใจเป็นยิ่งนักในยามบ่ายคล้อยเช่นนี้
ซู่ซู่ใช้มือเรียวจับชุดคลุมเมื่อลมหนาวลอยมากระทบเรือนร่าง นางค่อยๆ หันไปยังหลี่ม่านถัว
“ม่านถัว ข้าขออยู่คนเดียว” ซู่ซู่เอ่ยบอกเช่นนี้
“แต่ว่า...”
“ที่นี่วังหลวง ไม่มีใครมาทำอันตรายข้าได้หรอก” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เพคะ” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และถอยออกไปหลังศาลา ปล่อยให้ซู่ซู่อยู่คนเดียวเพียงลำพัง
ไป๋ซู่ซู่ทอดสายตามองไปยังทะเลสาบจำลองทำให้นางหวนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนที่นางต้องระหกระเหินมายังเมืองหลวงเพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับครอบครัว และผู้คนในเมืองลี่ที่ต้าหวางแคว้นหานได้สังหารไปหมดสิ้นไม่เหลือแม่แต่คนเดียว ดีที่นางหนีมาได้และหนีมาทางทะเลทราย ทำให้ทหารของแคว้นลี่คิดว่านางได้ตายไปในทะเลแล้ว
ตอนนี้ชายแดนระหว่างแคว้นซูและแคว้นหานทำสงครามกันอยู่ทุกวันไม่เห็นผลแพ้ชนะขาดเสียที นางได้แต่ภาวนาให้แคว้นซูมีชัยชนะเหนือแคว้นหานเพื่อมาเซ่นวิญญาณชาวเมืองลี่ที่ได้ตายไปหลายร้อนหลายพันคน
ซู่ซู่ถอนหายใจยาวๆ ทอดสายตามองท้องฟ้าก้วางใหญ่สุดลูกหูลูกตา นางคิดว่านับแต่นี้นางจะทำหน้าที่หวางโฮ่วให้ดี สมกับที่จ่างซุนอู๋จี้ได้มอบไว้ให้นาง นางคิดว่าการเป็นประมุขฝ่ายในเป็นงานที่หนัก แต่ก็สามารถแบ่งเบาภาระให้กับเขาไม่มากก็น้อย
ซู่ซู่ค่อยๆ หันกลับหลัง เพื่อก้าวเดินมาหานางกำนัลที่ยืนรออยู่นอกศาลาที่อยู่ไม่ไกลมากนัก แต่ทว่านางรู้สึกเจ็บที่หัวอย่างหนักเหมือนมีใครเอาไม้ท่อนหนาๆ มาทุบที่หัว ก่อนที่นางจะล้มลงไปนางเห็นผู้หญิงสวมใส่ชุดสีดำใส่เสื้อคลุมหัว นางเห็นภาพนี้อย่างเลือนราง และหญิงชุดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง
“ไปตายชะ...”
เสียงสุดท้ายก่อนที่ไป๋ซู่ซู่จะหงายหลังพลัดตกไปในทะเลสาบจำลอง
ก่อนที่นางจะตกลงไปในสาบทะเลจำลอง นางได้หมดสติไปเสียแล้ว และหัวของนางกระแทกก้อนหินก้นทะเลสาบอย่างจัง
"เมื่อครู่เจ้าได้ยินเสียงน้ำกระจายหรือไม่" ม่าถัวหันมาถามอ้วนเสี้ยว
"ช่วยด้วย!!! ไป๋ฟูเหรินตกน้ำ" ขันทีผู้หนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังลั่น ม่านถัวและเหล่าข้าหลวงต่างตกใจที่ได้ยินคำนี้
เหล่านางกำนัลและขันทีรวมไปถึงทหารรีบวิ่งมาดูโดยทันที บางคนกระโดดลงไปในสระเพื่อว่ายน้ำตามหาซู่ซู่ ม่านถัวร้องไห้แทบขาดใจก่อนจะสิ้นสติไปในเพลาต่อมา