ที่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ภายในห้องสวีตของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่จัดงาน ว่าที่เจ้าสาวนั่งนิ่งราวกับตุ๊กตาไร้ชีวิตเพื่อให้ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมสามารถเนรมิตความงามให้เธอได้ตามที่ต้องการ
“สวยมากค่ะเจ้าสาว ตอนนี้ยิ้มได้แล้วนะคะ เดี๋ยวไปแต่งตัวกันค่ะ” ช่างแต่งหน้าบอกเพราะคิดว่าที่เธอทำหน้านิ่งเหมือนคนไร้ความรู้สึกก็เพราะกลัวเครื่องสำอางจะเลอะเท่านั้น
“ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มบางๆ ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นเพื่อจะได้ไปสวมชุดเจ้าสาวที่แขวนอยู่ใกล้กัน
“ชุดนี้สวยและแพงมากๆ เลยนะคะเจ้าสาว เจ้าบ่าวเนี่ยตาถึงจริงๆ ถึงได้เลือกชุดนี้มา พี่ได้ยินว่าชุดนี้ราคาเหยียบล้านเลยนะคะ”
ช่างยังคงเมาท์มอยต่อไปอย่างสนุกสนาน
“อย่างนั้นเหรอคะ”
เจ้าสาวไม่ได้รู้สึกยินดีไปกับราคาของชุดเลยสักนิด เพราะรู้ว่าทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นมันก็แค่ละครฉากใหญ่เพื่อให้ ‘งานพิเศษ’ ของเธอออกมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะต้องจบลงเมื่อข้อตกลงบรรลุเป้าหมายแล้ว
เมื่อเห็นว่าเจ้าสาวเป็นคนพูดน้อย พวกเธอจึงค่อยๆ เงียบเสียงลงเพราะเกรงอีกฝ่ายจะรู้สึกรำคาญ กระทั่งชุดสวยถูกสวมลงบนเรือนร่างงดงามทำให้เจ้าสาวกลายเป็นเจ้าหญิงแสนสวยเรียบร้อยก็หมดหน้าที่ของพวกเธอ
“เพอร์เฟกต์มากค่ะ คุณแม่เจ้าบ่าวแจ้งว่าเดี๋ยวจะให้เจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวเองนะคะ ตอนนี้พวกเราขอตัวก่อนค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” เธอยกมือไหว้ทุกคนและมองพวกเขาก้าวออกไปจากห้องจนเหลือเพียงเธอคนเดียวที่ยังยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่นั้น
เสียงถอนหายใจดังตามมาหลังจากนั้นเพราะอีกไม่กี่นาทีเธอจะหันหลังกลับไปสู่จุดเริ่มต้นไม่ได้อีกแล้ว
หรือต่อให้ยังมีโอกาส...เธอก็คงเลือกที่จะทำแบบนี้
ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งก็ฝันที่จะได้สวมชุดเจ้าสาวและได้แต่งงานกับคนที่เธอรัก แต่ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรให้ฝันถึงอีกแล้ว
“ขอโทษนะ...แต่เรา...จำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ”
เธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะกลัวว่าใบหน้าสวยๆ จะเลอะคราบน้ำตา ในเมื่อเรื่องราวมันมาถึงจุดนี้แล้ว จะให้เธอร้องไห้คร่ำครวญและยอมแพ้ต่อโชคชะตาไม่ได้อีก
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น นั่นทำให้เธอต้องสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดเพราะคงถึงเวลาที่เธอจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองเสียที
และนี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้เจอหน้าเจ้าบ่าวของตน
หญิงสาวค่อยๆ หันไปมองตามเสียงรองเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทุกขณะ และไม่นานเธอก็ได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น
คนแปลกหน้า...ที่เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับเขาจนกว่า...
“ผมมารับคุณครับ”
“เอ่อ...ค่ะ ได้เวลาแล้วใช่มั้ยคะ”
“ครับ เชิญครับ” เขาส่งยิ้มบางให้เธอ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือใหญ่มาให้เธอจับ
หญิงสาวมองมือนั้นครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือไปจับกับเขา
“คือ...ฉันขอถามชื่อคุณได้มั้ยคะ อย่างน้อยฉันก็ควรได้รู้ชื่อของคุณใช่รึเปล่า”
“ผมชื่อ...คีรินครับ เรียกว่านัทก็ได้”
“สวัสดีค่ะคุณนัท ดิฉันชื่อ...”
“แตงกวา คุณัญญา ใช่มั้ยครับ”
“คุณรู้จักชื่อของฉันเหรอคะ”
“ผมรู้หลายอย่างที่เกี่ยวกับคุณครับ ไปเถอะ เอาไว้เราค่อยมาทำความรู้จักกันเพิ่มหลังจากผ่านคืนนี้ไปก็คงไม่สาย จริงมั้ยครับ”
“เอ่อ...ค่ะ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา”
เธอปล่อยให้เขาจูงมือน้อยให้เดินตามกันไป และเมื่อออกจากห้องก็เจอกับทีมงานที่จะคอยช่วยถือชายกระโปรงชุดเจ้าสาวให้อย่างมืออาชีพ
ไม่นานพวกเขาก็ลงมาถึงหน้าห้องจัดเลี้ยงซึ่งมีบิดาและมารดาของเขายืนอยู่
“สวัสดีค่ะ คุณลุง คุณป้า”
คุณัญญายกมือไหว้คนทั้งสองพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
“เรียกคุณลุงคุณป้าไม่ได้แล้วนะจ๊ะ หลังจากนี้ไปต้องเรียกคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะ” มารดาของเขาบอก
“ค่ะ คุณพ่อ คุณแม่”
“ครอบครัวหนูมารออยู่ตรงนั้นแน่ะ” ท่านชี้ไปยังคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาทางนี้และเธอก็เห็นว่าพวกเขาคือบิดามารดา และน้องสาวของเธอนั่นเอง
“ไปคุยกับพวกเค้าสิจ๊ะ อีกเดี๋ยวค่อยมาถ่ายรูปกัน” มารดาของเขาบอกน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณค่ะ” คุณัญญาเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวครอบครัวของเธอ
“ป๊ากับม้า...มาได้ยังไงคะ คะน้าด้วย” เธอเกือบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว เพราะไม่คิดว่าการแต่งงานครั้งนี้จะมีคนในครอบครัวของเธอมาร่วมด้วย
“งานแต่งลูกสาวของป๊าทั้งที ป๊าจะไม่มาได้ยังไงล่ะลูก ต่อให้...มันจะไม่ใช่งานแต่งจริงๆ ก็เถอะ” บิดาของเธอบอกด้วยน้ำเสียงขื่นขมไม่ต่างกัน
“ป๊ากับม้า...รู้แล้วเหรอคะ”
“คะน้าบอกพวกเราหมดแล้วล่ะลูก หนูไม่ควรทำแบบนี้เลยรู้มั้ย ที่หนูต้องแลกน่ะ...เค้าเป็นหลานของม้านะ” มารดาของเธอแทบน้ำตาร่วงเมื่อพูดถึงเงื่อนไขสำคัญของการแต่งงานในวันนี้
“หนูไม่อยากให้พวกเราต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอีกแล้วค่ะ ขอให้ทุกคนเคารพการตัดสินใจของหนูด้วยนะคะ อย่างน้อย...ถ้าเด็กคนนี้เกิดมา หนูก็มั่นใจว่าเค้าจะไม่ลำบาก เค้าจะได้มีชีวิตที่ดี อาจจะดีกว่าอยู่กับหนูด้วยซ้ำ”
“ที่หนูยังพูดได้เพราะหนูยังไม่เคยเป็นแม่จริงๆ น่ะสิลูก เชื่อม้าเถอะว่าถ้าหนูได้เห็นหน้าเค้า หนูจะไม่สามารถทิ้งเค้าได้ลงแน่ๆ”
มารดาของเธอบอกด้วยแววตาเจ็บปวด
“ป๊าขอโทษนะลูก ขอโทษที่ทำให้ครอบครัวของเราต้องเป็นแบบนี้ แต่...มันจะยังมีโอกาสมั้ยถ้าเราจะขอยกเลิกทุกอย่างในตอนนี้ ป๊าสัญญาว่าจะทำงานให้หนักขึ้น จะไม่ทำให้ลูกต้องลำบากอีก”
“หนูมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้วค่ะป๊า อีกอย่างถ้าหนูยกเลิกตอนนี้ คนพวกนั้นเค้าคงจะต้องอับอายขายหน้าแน่นอน ยังไงตอนนี้พวกเค้าก็คือผู้มีพระคุณของเรา เราอย่าสร้างบาดแผลในใจให้พวกเค้าเลยนะคะ”
“แล้วบาดแผลในใจของพี่แตงล่ะคะ” คำถามของน้องสาวทำให้คุณัญญาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะฝืนยิ้มแล้วตอบออกไปทั้งที่ขอบตานั้นร้อนผ่าว
“พี่ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่เป็นไรจริงๆ”
“ขอโทษนะคะ ขอเชิญเจ้าสาวและครอบครัวไปถ่ายรูปกันได้แล้วค่ะ” ทีมงานคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกเธอ
“ได้ค่ะ ไปกันเถอะค่ะทุกคน”
หญิงสาวปั้นหน้ายิ้มแล้วกลืนก้อนน้ำตาลงไปในอก ก่อนจะคว้ามือบิดาและมารดาแล้วพาพวกท่านเดินไปยังบริเวณฉากสำหรับถ่ายรูปหน้างาน แต่แล้วสองเท้าของเจ้าสาวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเธอได้เจอกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจออีกแล้วตลอดชีวิตนี้
คนที่เธอรักหมดทั้งหัวใจ...