หลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ พวกเธอก็แยกย้ายกันขึ้นไปพักผ่อน จีรชยาหันไปมองประตูห้องของพี่ชายคนโตที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในนั้น พลางคิดไปว่าอีกไม่กี่เดือน หลังจากที่เขาแต่งงานกับคนรักเขาก็คงจะย้ายออกไป ส่วนเธอก็จะไปตามหาความฝัน และนั่นก็คงยิ่งทำให้โอกาสได้เจอกันมีน้อยลงไปทุกที
แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ยิ่งห่างกันนานเท่าไหร่ เธอก็จะได้เลิกแอบรักเขาข้างเดียวเสียที
มันผ่านมากี่ปีแล้วนะที่ความรู้สึกนี้มันก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ แม้เขาจะไม่ได้ทำตัวสนิทสนมเหมือนภูริตากับภูมิรพี แถมเขาก็เป็นคนเดียวที่เธอไม่กล้าเรียกว่าพี่ แต่ในความเย็นชาก็ยังเหลือความมีเมตตาซ่อนอยู่ และนั่นก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเริ่มตกหลุมรักเขาไปโดยไม่รู้ตัว
จนตอนนี้เขามีคนที่เหมาะสมคอยอยู่เคียงข้าง มันก็คงถึงเวลาที่เธอควรจะตัดใจเสียที โชคดีเหลือเกินที่กำหนดการเดินทางคือไม่เกินเดือนหน้า เธอจะได้ไม่ต้องฝืนปั้นหน้ายิ้มให้เขาในวันวิวาห์ให้ต้องเจ็บปวดใจ
หนึ่งเดือนต่อมา
พรุ่งนี้แล้วที่เธอจะต้องออกเดินทางไกล กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ที่ข้างประตูห้องเรียบร้อย ส่วนเอกสารที่จำเป็นทุกอย่างอยู่ในกระเป๋าสะพาย
เมื่อตอนบ่ายทุกคนที่บ้านจัดงานเลี้ยงส่งเธอซึ่งบรรยากาศมันเต็มไปด้วยความสุขและความเศร้าระคนกันไป ซึ่งเธอเองก็รู้สึกเหงาและเศร้าไม่ต่างจากทุกคนเช่นกัน
แต่ตอนนี้ไม่เหลือใครอยู่ที่บ้านอีก เพราะภูผากับจารุกัญญ์ต้องไปออกงานการกุศลของกระทรวงสาธารณสุขที่จัดขึ้น ภูริตาติดเคสผ่าคลอดตั้งแต่ช่วงเย็น ภูมิรพีก็ถูกเรียกตัวด่วนเพราะเครนที่ไซต์งานถล่ม
ส่วนภูมิภัทรก็ออกไปข้างนอกตั้งแต่เย็นพร้อมกับคนรักของเขาที่มารับกันออกไปซึ่งเธอรู้สึกว่าพวกเขามีสีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ อาจจะเครียดเรื่องเตรียมงานแต่งก็เป็นได้
และพรุ่งนี้ทุกคนสัญญาว่าจะไปส่งเธอที่สนามบินด้วยกันอย่างแน่นอน แม้คำว่า ‘ทุกคน’ อาจจะไม่ได้รวมถึงภูมิภัทรด้วยก็ตาม
เพราะตั้งแต่รู้ว่าเธอจะไปญี่ปุ่น เขาก็ยิ่งทำตัวเหินห่างเธอออกไปทุกที ห่าง...จนเธอรู้สึกเหมือนอยู่ไกลกันคนละโลก ทั้งที่ห้องของเขาก็ใช้ผนังเดียวกันกับเธอ
หลังจากจัดเตรียมข้าวของทุกชิ้นจนมั่นใจว่าไม่ลืมอะไรอีก เธอก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนในเวลาเกือบสามทุ่มแล้วกลับมานอนบนเตียง แต่ยังไม่ทันได้เคลิ้มหลับ เสียงฟ้าร้องฟ้าคำรามก็ดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ฝนจะตกลงมาอย่างหนัก
“ฝนหลงฤดูหรือไงกันนะ ตอนเย็นไม่เห็นมีเมฆเลยนี่นา”
เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปสำรวจหน้าต่างทุกบานในห้องเพื่อดูว่าไม่ได้เปิดทิ้งไว้ จากนั้นก็ลงไปเช็กที่ชั้นล่างอีกทีแต่เมื่อลงมาแล้วเธอก็เห็นว่าไฟในห้องนั่งเล่นเปิดอยู่ จึงคิดว่าอาจจะมีคนกลับมาแล้ว
แต่จะเป็นใครกันล่ะ?
สองเท้าของเธอชะงักกึกเมื่อเดินเข้าไปในห้องนั้นแล้วพบว่าเป็นภูมิภัทรที่นั่งอยู่ แต่เขาไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพังเพราะเบื้องหน้ามีขวดเบียร์หลายขวดวางอยู่ ดูเหมือนว่าเขาน่าจะกลับมาได้พักใหญ่แล้ว
“คุณภูมิมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ ทำไม...มานั่งดื่มคนเดียวแบบนี้ล่ะ” เธอเอ่ยถามขณะเดินเข้าไปใกล้ๆ แม้ในใจจะนึกกลัวว่าเขาจะไล่ตะเพิดเธอออกมา
“ยังไม่นอนอีกเหรอ” เขาไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่เลือกที่จะถามเธอกลับคงเพราะเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ไม่สบายใจ
“ตอนแรกก็ว่าจะนอนแล้วค่ะ แต่เห็นว่าฝนตกหนักเลยลงมาตรวจดูประตูหน้าต่าง งั้น...จีขอตัวไป...”
“ดื่มเป็นมั้ย”
“คะ?”
“ดื่มเบียร์เป็นมั้ย ถ้าเป็นก็มาดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“ก็...พอดื่มได้บ้างค่ะ พี่พีเคยสอนให้ดื่ม”
“สนิทกันดีนะ”
“อะไรนะคะ”
“ช่างเถอะ ไปเอาเบียร์ในตู้เย็นมาอีกสองขวดละกันแล้วเอาแก้วเธอมาด้วย น้ำแข็งตรงนี้ยังมีอยู่”
“ค่ะ” ถึงจะรู้ว่าเธอไม่ควรดื่มเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางไกล แต่โอกาสที่จะได้นั่งดื่มกับเขาตามลำพังแบบนี้คงหาไม่ได้อีกแล้วในชาตินี้ อีกอย่างเธอก็อยากอยู่ข้างเขาในช่วงเวลาที่เขาทุกข์ใจ แม้จะไม่รู้ว่าเขากำลังทุกข์เรื่องอะไรอยู่ก็ตาม
จีรชยาเดินไปในห้องครัวแล้วหยิบเบียร์ที่น่าจะเป็นของภูมิรพีเอามาแช่ไว้ซึ่งมันก็เหลืออยู่แค่สองขวดพอดี
เมื่อกลับมาถึงห้องนั่งเล่น เธอก็รินเบียร์ลงแก้วให้เขาก่อน จากนั้นก็รินให้ตัวเองบ้างก่อนจะยกขึ้นมาจิบเพื่อให้เธอไม่รู้สึกประหม่าเกินไป
“ทำไมอยากไปญี่ปุ่น เมืองไทยไม่มีที่ให้เธอทำงานหรือไง”
คำถามของเขาทำให้เธอหันไปมอง จึงได้เห็นว่าเขาก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน
“จริงๆ จีก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องไปญี่ปุ่นหรอกค่ะ แต่พอดีรุ่นพี่ที่เค้าทำงานที่นั่นแนะนำมา จีก็เลยลองไปสมัครและเข้ารับการทดสอบดู ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ด้วยซ้ำ พอได้แล้วก็ดีใจมากเลยค่ะ เพราะมันถือเป็นความท้าทายในชีวิต แต่...ถ้าจีไปแล้วก็คงคิดถึงทุกคนที่นี่มากแน่เลยค่ะ”
“ทุกคนเลยเหรอ”
“ค่ะ”
“รวมถึงฉันด้วยรึเปล่าล่ะ”
“เอ่อ...ค่ะ...รวมถึงคุณภูมิด้วย”
เธอบอกอย่างขัดเขินก่อนจะยกเบียร์ขึ้นมาดื่มไปอีกครึ่งแก้วแต่ก็แทบสำลักเพราะดื่มเร็วเกินไป