ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
“มีอะไรรึเปล่าครับเจน” ภูมิภัทรเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เดินมาเปิดประตูห้องพักแล้วพบว่าเป็นเจนจิรานั่นเอง
“เจนกับคนอื่นๆ ว่าจะไปเดินชมซากุระที่สวนอุเอโนะกันค่ะ ภูมิจะไปด้วยกันมั้ยคะ”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมว่าจะนั่งอ่านเอกสารการสัมมนาอยู่ในห้องพักน่ะ”
“งั้นก็ตามใจค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนใจก็โทรมานะคะ พวกเราจะออกจากโรงแรมประมาณเก้าโมงค่ะ”
“ครับ ขอบคุณมากที่ชวน”
หมอหนุ่มบอกยิ้มๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินกลับห้องพักของเธอไป เขาจึงได้ปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง
กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นขณะที่หมอหนุ่มกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ และมันก็เป็นเสียงโทรเข้าจากแอปพลิเคชันไลน์ที่มาจากน้องสาวของเขานั่นเอง
(“ไงพู่ อย่าบอกนะว่าจะทวงของฝาก พี่เพิ่งมาถึงไม่กี่ชั่วโมงเองนะ อีกตั้งอาทิตย์กว่าจะกลับ”)
(“แหม บ่นซะยาวเลยนะคะพี่ชาย พู่ก็แค่จะโทรมาถามว่าถึงโตเกียวอย่างปลอดภัยรึเปล่าเท่านั้นเองหรอก”)
(“แน่ใจเหรอว่าไม่ได้จะทวงของฝาก”)
(“แน่ใจค่ะ แต่ก็มีเรื่องอื่นที่อยากคุยด้วยเหมือนกัน ว่าแต่ตอนนี้พี่ภูมิยุ่งมั้ยคะ”)
(“ไม่ยุ่ง พี่ว่าจะนั่งอ่านเอกสารการสัมมนาหน่อยน่ะ”)
(“ไม่คิดจะพักหน่อยเหรอคะ เพิ่งบินไปถึงก็ขยันเลยนะ อยู่โตเกียวทั้งทีแทนที่จะออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”)
(“ตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ ไม่ต้องมาอ้อมค้อม”)
(“โอเคค่ะ งั้นขอพูดตรงๆ เลยนะคะ พู่อยากให้พี่แวะไปเยี่ยมจีเค้าหน่อยน่ะค่ะ”)
(“ทำไมพี่จะต้องไป”)
(“ก็จีเค้าไม่ได้ติดต่อมาเลย พู่กับแม่แล้วก็น้องพีเป็นห่วงน่ะค่ะ ครั้งสุดท้ายที่ส่งเมลมาก็ตั้งแต่ปลายปีก่อน เบอร์ที่เคยให้ก็ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่ายังสบายดีอยู่รึเปล่า”)
(“เค้าเลือกที่จะไปเอง ทำไมจะต้องไปวุ่นวายกับเค้าอีกล่ะ”)
(“แต่ยังไงจีก็เป็นน้องสาวของพวกเรานะคะ ที่เธอจากไปก็คงเป็นเพราะไม่อยากรบกวนพวกเราอีก ถึงน้องจะบอกว่างานยุ่งเลยไม่มีเวลากลับไทย แต่หนูว่าน้องน่าจะแค่เกรงใจมากกว่า ห้าปีแล้วนะคะพี่ภูมิ พี่ไม่คิดถึงน้องบ้างเหรอ ไม่สนใจน้องสาวเราเลยหรือไงคะ”)
(“ไม่คิดถึงและไม่สนใจ”)
(“เชอะ คนปากแข็ง ถ้าไม่คิดถึงพี่จะ...”)
(“เลิกพูดมาก ถ้าอยากให้พี่แวะไปดูเค้าก็เอาที่อยู่มาละกัน พี่ว่างวันนี้วันเดียว วันอื่นสัมมนาตั้งแต่เช้าจนดึกคงไม่ว่างไปหรอก”)
(“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวพู่ส่งที่อยู่ไปทางไลน์นะคะ ถ้าพี่เจอจีแล้วถ่ายรูปคู่ส่งมาเลยนะ หนูอยากรู้ว่าจีเค้าจะสวยกว่าเดิมรึเปล่า”)
(“เค้ามาทำงานเป็นเชฟร้านอาหารที่นี่ไม่ใช่เหรอ ก็คงจะหัวฟูหน้ามันอยู่หน้าเตาทั้งวัน จะให้สวยเหมือนหมอที่อยู่ในห้องแอร์ทั้งวันอย่างเราคงไม่ใช่มั้ง”)
(“แน่ะ ไหนว่าไม่สนใจ แล้วรู้ได้ยังไงว่าน้องไปทำงานเป็นเชฟที่นั่นน่ะ”)
(“ก็...แม่พูดให้ฟังน่ะ”)
(“อ๋อ...แม่พูดให้ฟังนี่เอง งั้นแค่นี้นะคะ เดี๋ยวจะรีบส่งที่อยู่ไปให้ค่ะ อย่าลืมถ่ายรูปมาด้วยนะคะ แล้วก็อย่าลืมขอเบอร์ติดต่อมาด้วยล่ะ”)
(“รู้แล้วน่า สั่งจริง”)
หมอหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะร่วนของน้องสาวก่อนที่เธอจะวางสายไป ไม่นานก็มีข้อความจากเธอเข้ามาแทน ซึ่งก็เป็นที่อยู่ของน้องสาวนอกไส้ที่ย้ายมาทำงานที่นี่ได้กว่าห้าปีแล้ว และไม่เคยกลับไปหาพวกเขาที่เมืองไทยอีกเลย จะมีแต่ของขวัญวันเกิดของแต่ละคนเท่านั้นที่เธอจะส่งมาให้ทุกปี แต่เหมือนว่าปีนี้เธอจะขาดการติดต่อไปจริงๆ
ภูมิภัทรปิดหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินทางออกจากโรงแรมที่พักซึ่งเป็นที่จัดสัมมนาวิชาการด้านการแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองในครั้งนี้ด้วย
โชคดีที่ที่อยู่ของเธอไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก ใช้เวลายี่สิบห้านาทีรถแท็กซี่ก็พาเขามาส่งที่หน้าร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อน่ารักๆ ว่า Pudding & Phrikwan คิดว่าคงจะสื่อถึงอาหารที่มีทั้งของคาวและของหวานนั่นเอง
ชายหนุ่มกำลังจะเอื้อมมือไปผลักประตูแล้วหากเขาไม่เห็นข้อความ Close ที่แปลว่าร้านปิดในวันนี้
ดูเหมือนว่าเขาจะมาเสียเที่ยวแล้วสินะ...
เขาหันมองไปทั่วหน้าร้านเผื่อจะมีเบอร์โทรศัพท์ติดไว้ แต่ก็ไม่เห็นตัวเลขใดๆ ที่จะสามารถทำให้เขาติดต่อเธอได้ ขณะที่ยืนชั่งใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเขาเสียก่อน
“ร้านปิดนะคะวันนี้” เสียงที่ไม่คุ้นเคยเอ่ยเป็นภาษาญี่ปุ่นทำให้เขาหันไปมอง จึงได้เห็นว่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่ง
“สวัสดีครับ ผมเป็นญาติกับจีน่ะครับ เธอน่าจะเป็นเชฟอยู่ที่ร้านนี้ คุณป้าพอจะรู้จักเธอรึเปล่าครับ” เขาตอบกลับไปเป็นภาษาญี่ปุ่นเช่นกัน
“จีหรือคะ? ป้าไม่รู้จักนะคะ อีกอย่างร้านนี้ก็มีเชฟแค่คนเดียว คือหนูไอโกะค่ะ”
“ไอโกะเหรอครับ เอ่อ...ใช่คนนี้รึเปล่าครับ” เพราะคิดว่าการย้ายมาอยู่ที่นี่อาจจะทำให้เธอเปลี่ยนชื่อเพื่อความสะดวกในการเรียก เขาจึงได้ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วเลื่อนหารูปถ่ายของจีรชยา ก่อนจะส่งให้อีกฝ่าย