ตอนที่6 เด็กหญิงผู้น่าสงสาร

1700 Words
4 ปีผ่านไป “แม่ขา แม่อยู่ไหนคะ?” วริษาถึงกับหลับตาลง ขณะนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงโต๊ะหน้าระเบียงริมสวน กลิ่นหอมของเครื่องดื่มไม่ได้ช่วยปลอบใจเธอเลยสักนิด เด็กคนนั้นมาอีกแล้ว เป็นเสียงที่ชวนให้หงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยิน แม่คนอื่นอาจจะเป็นเสียงสวรรค์แต่สำหรับเธอมันไม่ต่างจากเสียงนรกเลย “อยู่ตรงนี้ จะเรียกหาทำไมอีกฮะ” เสียงตอบรับโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง มือยังหยิบยกกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้ง เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ที่กำลังก้าวเดินมาต้องหยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วเปลี่ยนเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่เบาที่สุดเท่าที่เด็กหญิงวัยสี่ขวบจะพยายามทำได้ หนูน้อยเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้หญิงที่เรียกแม่มาตลอดสี่ปี ก่อนจะยิ้มทักทายแม่อย่างน่ารัก “ขอโทษค่ะ หนูแค่คิดถึง อยากมากอดแม่เฉย ๆ แม่ทำอะไรอยู่คะ?” วริษาเงยหน้าขึ้นมองเพียงครู่ เธอไม่ตอบ ไม่ลุกและไม่ยื่นมือไปหาลูกสาวเลยสักนิดเดียว ทำให้หนูน้อยอิงฟ้ารับรู้ว่าตัวเองคงพูดและทำอะไรไม่ถูกใจแม่อีกเช่นเคย “งั้นไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่อยากกอดแม่ ถ้าไม่ให้กอดหนูไปเล่นที่อื่นก็ได้” หนูน้อยเดินก้มหน้าจากไปด้วยความเสียใจที่ไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้ ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง หยิบกระดาษวาดรูปและสีออกมาเหมือนที่ชอบทำทุกครั้ง วาดรูปในจินตนาการที่ตัวเองอยากเห็นมากที่สุด ความสุขเดียวที่จะสามารถระบายความรู้สึกออกมาได้ 20 นาทีต่อมา “แม่ขาดูนี่สิคะ หนูวาดแม่กับหนูอยู่ในสวนด้วยกัน” เสียงใส ๆ พูดขึ้น พร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แม่ได้ดู ภาพวาดด้วยสีเทียน มีรูปภาพของผู้หญิงกับเด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนจับมือกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางสวน ข้างบนถูกเขียนว่า ‘แม่กับอิงฟ้ายิ้มมีความสุขด้วยกัน’ เป็นลายมือของพี่เลี้ยงที่หนูน้อยออดอ้อนให้ช่วยเขียน วริษารับมาก่อนจะวางลงข้าง ๆ กาย ไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามองกระดาษแผ่นนั้นเลยสักนิด รับพอส่ง ๆ รับเพื่อตัดความรำคาญใจ “ไม่สวยเหรอคะ หรือว่าแม่ไม่ชอบ?” เสียงที่ฟังดูน้อยใจถามขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าจิ้มลิ้มยังคงมองแม่ไม่ละสายตาจากไปไหน “มันก็เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ มีอะไรให้ตื่นเต้น ก็เห็นอิงฟ้าวาดรูปแม่กับลูกอยู่บ่อยครั้งไป” หนูน้อยอิงฟ้ายืนเงียบไปหลายนาทีก่อนจะฝืนยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง “มันคงยังไม่สวย งั้นหนูจะฝึกวาดใหม่ จะวาดให้จนกว่าแม่จะชอบให้ได้เลยนะคะ” หนูน้อยเดินจากไปอีกครั้ง รู้สักเสียใจเหมือนเคยแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักครั้ง ยังคงเหมือนเดิมและอาจจะเพิ่มเติมขึ้นทุกวันด้วยซ้ำไป อยู่ต่อหน้าพ่อแม่จะเหมือนนางฟ้าผู้ใจดี แต่เวลาลับหลังพ่อแม่ก็เมินเฉยจนทำให้รู้สึกกลัวแบบนี้ บ่ายวันเดียวกัน วริษานั่งอ่านนิตยสารบนโซฟาเงียบ ๆ ลูกสาวเดินเข้ามาหาอีกครั้ง พร้อมกับตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดที่แสนยับเยิน “แม่คะ หนูเล่นเป็นหมอ แล้วแม่เป็นคนไข้ให้ได้ไหมคะ?” “วันนี้แม่ไม่สบายใจ ไม่เล่นอะไรทั้งนั้น ไปไกล ๆ เลยนะอิงฟ้า แม่ปวดหัว” ใบหน้าไม่ได้หันหน้ามามองแต่ก็ยังยอมตอบกลับและพูดคุยด้วย หนูน้อยเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่มากขึ้นกว่าเดิมที่ยืนอยู่ “งั้น หนูพาแม่ไปหาหมอไหมคะ แม่จะได้หายปวดหัว” “เอ๊ะ! บอกว่าอย่ามายุ่ง ทำไมต้องเซ้าซี้ด้วยฮะ” วริษาวางหนังสือลง หันไปมองหน้าลูกน้อยอย่างเหนื่อยหน่าย หนูน้อยอิงฟ้ายืนกอดตุ๊กตากระต่ายเอาไว้แนบอก เพราะแม่ทำให้รู้สึกกลัว ดวงตากลมใสมองจ้องหน้าแม่ด้วยสายตาที่เศร้าสลด “แม่คะ หนูขอกอดหน่อยได้มั้ย” “แกคิดว่ากอดแล้ว แม่จะรักแกขึ้นมาหรือไง?” คำถามที่ไม่มีคำตอบและเด็กสี่ขวบก็ไม่ควรถูกถามอะไรแบบนี้เลยสักนิด ดวงตากลมที่มองจ้องแม่กำลังเอ่อคลอด้วยน้ำตาที่ล้นเอ่อ “งั้นหนูไม่รบกวนแล้ว แม่จะได้รักหนูขึ้นมาบ้าง” น้ำเสียงที่ตอบกลับเบาจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง แต่มันชัดเจนพอที่จะทำให้ใครก็ตามที่ยังมีหัวใจรู้สึกเจ็บ วริษาถึงกับเงียบไป ไม่ตอบกลับทั้งนั้น ไม่สบตา แต่ลุกขึ้นแล้วเดินผ่านหน้าของลูกสาวไปเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย หนูน้อยอิงฟ้ามองตามหลังด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า ความรักจากแม่เป็นแบบไหน ทำไมตัวเองไม่เคยได้รับหรือสัมผัสเลยสักครั้ง รับรู้ว่าพ่อรักมากแค่ไหนแต่กับแม่ล่ะทำไมชอบพูดเหมือนไม่ใช่แม่เลย คงเป็นคำถามเดียวที่ยังคงไม่มีคำตอบให้กับชีวิต สองชั่วโมงผ่านไป เพล้ง !! เสียงแก้วตกกระทบกับพื้นแตกดังลั่น เศษแก้วกระเด็นกระจายจนน้ำส้มซึมลงบนพรมขนสีครีมช้า ๆ หนูน้อยยืนนิ่ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเหมือนหวาดกลัว ร่างเล็กยืนสั่นสะท้าน มือทั้งสองข้างจิกกำชุดกระโปรงจนแน่น ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันหกก็แค่อยากยกแก้วน้ำไปวางเพื่อเอาใจผู้เป็นแม่ “อิงฟ้า!!!” เสียงตวาดดังลั่นแทงทะลุหัวใจเด็กน้อยที่กลัวแม่ด่า วริษาก้าวเข้ามาใกล้ ใบหน้าเครียดขึงที่แลดูโกรธจัดก็ปรากฏให้เห็น “ทำอะไรของแกฮะ แกทำอะไรของแก! เด็กอะไรซุ่มซ่ามได้ทุกวัน แค่ถือแก้วแค่นี้ ยังทำหล่นจนมันตกแตกได้!” หนูน้อยเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรีบหลบสายตาคู่นั้นที่ไม่เคยมองมาด้วยความอ่อนโยนเลยสักครั้ง ทำได้เพียงก้มหน้าจ้องมองพื้น น้ำตาเริ่มอ่อคลอเบ้า แต่ยังไม่กล้าร้องไห้ออกมาให้ใครได้เห็น ถ้ายิ่งร้องก็ยิ่งจะถูกต่อว่า “ขะ ขอโทษค่ะแม่” เสียงที่เอ่ยมาแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “อย่าพูดคำนี้กับฉัน มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด!” วริษาไม่ตะคอกเปล่า คราวนี้เธอก้าวเข้ามาจนแทบจะประชิดคนตัวเล็กตรงหน้า ยืนอยู่เหนือเด็กเล็กเหมือนเงาดำที่กำลังกดทับร่างเอาไว้ ยิ่งทำให้หนูน้อยอิงฟ้ารู้สึกหวาดกลัว หัวใจเต้นแรงจนน้ำตาเริ่มร่วงออกมาเงียบ ๆ พยายามไม่สะอื้น พยายามจะนิ่งไม่ให้ต้องโดนต่อว่าว่าอ่อนแอ “หนูแค่อยากเอาน้ำส้มมาให้แม่...” เสียงเล็ก ๆ เอ่ยตอบเบาแผ่ว ทั้งที่ยังยืนก้มหน้า ไม่กล้าสบตาผู้เป็นแม่แม้แต่น้อย “แม่เหรอ? อยากเอาใจฉันงั้นสิ? คิดว่าฉันจะปลื้มหรือไง ที่มีเด็กอย่างแกเดินวุ่นวายไปทั่วบ้าน ทำข้าวของพังไปหมดทุกวันแบบนี้!” หัวใจดวงน้อยห่อเหี่ยวลงทันที เหมือนดอกไม้บอบบางที่เฝ้ารอแสงแดด แต่กลับถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่อาจเติบโตขึ้นได้อีก ทั้งที่ในใจอยากถามแม่เหลือเกิน ‘แม่ไม่เคยมองหนูเป็นลูกเลยใช่ไหม ไม่เคยรักหนูเลยสักครั้งเลยใช่ไหม แล้วหนูต้องดีแค่ไหนถึงจะดีพอ’ แต่หนูน้อยอิงฟ้าไม่กล้าเอ่ยคำเหล่านั้นออกไป ได้แต่กลืนมันลงไปพร้อมกับก้อนสะอื้นไห้ในลำคอ “ทำเลอะ ก็หัดทำความสะอาดให้มันเรียบร้อยซะ ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่น ใครทำคนนั้นก็รับผิดชอบ เข้าใจไหม?” เสียงของแม่ยังดังก้องอยู่ในหัว ไม่ใช่แค่เสียงตะคอก แต่มันเหมือนคำตัดสินโทษที่หนักหน่วงจนจิตใจเล็ก ๆ รู้สึกแหลกสลาย หนูน้อยได้แต่ก้มหน้ารับเกือบทุกคำพูดที่แม่บอกออกมา “เข้าใจค่ะแม่” เสียงตอบรับนั้นเบาหวิว แฝงไว้ด้วยความกลัว สั่นเครือเหมือนจะขาดหายไปกับอากาศ วริษาเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองสักนิด ไม่ได้สนใจเลยว่าเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยืนอยู่กลางกองเศษแก้วจะรู้วิธีเก็บมันไหม หรือแม้แต่จะเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า ทั้งห้องรับแขกเหลือเพียงหนูน้อยอิงฟ้าคนเดียวที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางห้อง มือเล็ก ๆ ยื่นออกไปเก็บเศษแก้วช้า ๆ จนโดนเศษแก้วนั้นทิ่มนิ้วจนเลือดไหลซึม แต่ก็ไม่อาจจะร้องอะไรออกมาได้ ไม่กล้าปริปากเรียกขอให้ใครมาช่วย แม้แต่น้ำตาก็ต้องให้ไหลออกมาเงียบ ๆ ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ เพราะแม้แต่เสียงร้องโอ๊ยก็ไม่กล้าให้ใครได้ยิน เพราะรู้ดีว่าความอ่อนแอไม่เคยได้รับการปลอบโยนในบ้านหลังนี้ มือน้อย ๆ เช็ดรอยเปื้อยที่เลอะซ้ำ ๆ อยู่หลายรอบ ในหัวมีเพียงคำถาม มีเพียงความเศร้าที่ไม่มีอ้อมกอดที่คอยปลอบประโลม ไม่มีคำว่า ‘ไม่เป็นไรนะลูกเดี๋ยวแม่เช็ดให้’ ไม่มีแม้แต่แววตาที่มองมาอย่างห่วงใยเลยสักครั้ง บ้านที่ไม่เคยรับรู้เลยว่าความสุขที่แท้จริงมันอยู่ตรงไหน ความรักของแม่มันคืออะไร “ถ้าหนูหายไป แม่จะมองหาหนูบ้างไหม?” มือเล็ก ๆ ยังคงจับผ้าเช็ดคราบเปื้อนจนเกลื้องแทบไม่เห็นรอย พร้อมกับน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำที่ไม่มีใครคอยเช็ดออกให้ก็ร่วงลงบนพื้นพรม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD