ตกเย็นหลังเลิกเรียน
พรึ่บ !!!
“นี่เธอคิดอะไรของเธออยู่” นายหัวคาวีโยนกระดาษลงกับโต๊ะกินข้าว หลังจากที่ได้อ่านจดหมายเรียกพบผู้ปกครอง นี่แค่ไปเรียนวันแรกก็เล่นเอาเขาถึงกับปวดหัวซะแล้ว
“ถ้าไม่ไป ก็ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวหนู…”
“เธอคิดว่าเธอมีผู้ปกครองคนอื่นอีกหรือไง ?” น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกน่ากลัวพิลึก แต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือ
“เปล่าค่ะ ไม่ได้คิด แค่จะคุยกับอาจารย์ให้เองค่ะ”
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะนายหัว ไปคุยกับอาจารย์ก่อนเถอะ มันคงมีเรื่องอะไรมาก่อนแหละ” ป้าพรช่วยพูด
( ป้าแม่บ้านคนนั้นนั่นแหละ เพราะเพิ่งได้มาทำความรู้จักกันและรู้จักชื่อกันก็ตอนทีหลังแล้ว )
“จะเรื่องอะไรครับ ? ทำเพื่อนหัวแตกจนเข้าโรงพยาบาล มีเหตุผลด้วยหรือไง”
“ก็ถ้าคิดว่าไม่มี มันก็ไม่มีหรอกค่ะ หนูก็แค่นิสัยเสียเอง ไม่ชอบหน้าเพื่อนก็เลยทำแบบนั้นค่ะ” พูดประชด
“นี่อย่ามายอกย้อนนะ !!”
“……”
ผู้ใหญ่แนวนี้นี่พิมพ์เดียวกันหมดเลยไหมนะ ด่าก่อนจะรู้เหตุผล ตั้งแต่รู้เรื่องเนี่ย ยังไม่เห็นถามสักคำเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงทำแบบนั้น สาเหตุมาจากอะไร กลับกันมองว่าเธอเป็นเด็กนิสัยเสียไปก่อนแล้ว
"ฉันควรทำยังไงกับเธอดี มีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อไป คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำ มันดีหรือยังไง ??"
"ด่าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกค่ะ หรือถ้าคิดจะด่า เพื่อความสะใจของตัวเอง ก็เชิญตามสบาย"
"นี่เธอ !!"
"หนูขอตัวนะคะ มีการบ้านต้องทำค่ะ"
น้ำตาลรีบเดินขึ้นห้องนอนของตัวเอง มันไม่เหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้เลย ไม่เหมือนกับที่ป้าพรพูดด้วย เขาบอกว่านายหัวก็แค่ดุ ตามประสาผู้ใหญ่ที่ทำงานเป็นหัวหน้าคนงานอยู่แล้ว เขาก็เลยมีบุคลิกแบบนี้
แต่สำหรับเธอ จากสิ่งที่เจอก่อนหน้านี้ เขาเป็นผู้ใหญ่ที่เจ้าอารมณ์ ไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจ นิสัยชอบด่าไว้ก่อนฟังเหตุผล ก็แค่นั้นเอง
ก๊อก ๆ ๆ ๆ
"ใคร ?"
"ป้าพรเองค่ะคุณหนู"
เธอเดินไปเปิดประตู ก่อนจะเดินกลับเข้ามานั่งที่เก้าอี้โต๊ะหนังสือ และปล่อยให้ป้าพรเดินตามเข้ามา
"นายหัวบอกว่า พรุ่งนี้จะไปค่ะ"
"....." เธอไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เขาจะไปหรือไม่ไป เธอก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น เพราะมันก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะไปหรือไม่ไปก็ได้
"คุณหนู ป้าขอได้ไหมคะ อย่าเถียงกับนายหัวเลยค่ะ นายหัวไม่ชอบคนเถียง ไม่ชอบคนต่อปากต่อคำ"
"แต่หนูก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาว่า โดยที่หนูยังไม่อธิบายอะไรนะคะ"
"ป้าเข้าใจค่ะ ที่ป้าพูดเพราะไม่อยากให้นายหัวอารมณ์รุนแรงใส่ กลัวจะพลั้งปากพูดรุนแรงไปค่ะ"
"หนูกับเขา คงไม่ถูกชะตากันมั้งคะ ไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่แรกเลย"
"อย่าคิดแบบนั้นเลยค่ะ ก็แค่คนเพิ่งมาเจอกัน ต้องใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันค่ะ"
"หนูว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ ตอนนี้หนูก็แค่ อยากรู้ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไว้ใจเขาให้เขาดูแลหนู และวันไหนที่ทุกอย่างจบลง หนูจะไปจากที่นี่ค่ะ" พูดอย่างเด็ดขาด
"โถ่คุณหนู..."
"จะว่าหนูนิสัยเสีย หนูเอาแต่ใจก็ได้นะคะ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของหนูมันเปลี่ยนไป จนหนูตั้งตัวไม่ทันจริง ๆ"
"ป้าเข้าใจค่ะคุณหนู"
"ขอบคุณนะคะที่มาบอก หนูอยากพักแล้วค่ะ"
"ได้ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า ป้าจะทำกับข้าวรสไม่จัดให้นะคะ เห็นคุณหนูกินเผ็ดไม่ได้"
"ขอบคุณค่ะ แต่ป้าพูดถูก หนูต้องปรับตัวค่ะ ทำไปเถอะค่ะไม่ต้องยกเว้นหนูหรอก เดี๋ยวเขาก็ว่าอีก หนูคงต้องอยู่ที่นี่อีกนาน รีบปรับตัวจะดีกว่า"
"งั้นป้าไม่กวนแล้วค่ะ พักผ่อนนะคะ"
ป้าพรเดินออกจากห้องไป ก่อนที่น้ำตาลนั้นจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำก่อนที่มันจะค่ำไปมากกว่านี้ ตกดึกอากาศเย็น ที่นี่ไม่มีน้ำอุ่นให้อาบด้วย แต่เป็นอากาศเย็นที่ไม่สบายตัวเอาซะเลย
#วันต่อมา
ถึงนายหัวคาวีบอกว่าจะไปด้วย แต่เธอก็ไม่ได้ไปพร้อมเขา เพราะถ้านั่งรถไปพร้อมกับเขาคงได้ตีกันก่อนถึงโรงเรียนแน่ ๆ และเธอก็ไม่ได้อยากเห็นหน้า หรือพูดคุยด้วยสักเท่าไร ก็เลยเลือกที่จะเดินออกไปรอขึ้นรถสองแถวที่หน้าถนนแทน
พอมาถึงโรงเรียน ทุกสายตาก็พากันจับจ้องมองไปที่เธอ ไม่ว่าจะรุ่นน้องหรือรุ่นพี่ ข่าวที่เธอจับหัวเพื่อนโขกกับเสาคงดังไปทั่วโรงเรียนแล้ว
"น้ำตาล ๆ ! "
"หือ ??"
หันไปมองตามเสียง ก็เห็นนุชกำลังวิ่งมาแต่ไกล ๆ
"วันนี้ผู้ปกครองของเธอจะมาหรือเปล่า ?"
"เห็นบอกว่าจะมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงไหม"
"เราจะเป็นพยานให้เอง ว่าน้ำตาลถูกหาเรื่องก่อน"
"ขอบใจนะ แต่เธอไม่มีปัญหาอะไรเหรอ ?"
"ไม่มีหรอก คนที่นี่ไม่ค่อยชอบนิสัยของตังเท่าไหร่ ก็เลยไม่มีใครอยากยุ่ง หรือช่วย"
ตัง คือเพื่อนที่โดนน้ำตาลจับหัวโขกเสาอยู่เมื่อวาน เธอก็เพิ่งจะรู้ชื่อเนี่ยแหละ
พอถึงเวลาอาจารย์ก็เรียกเข้าพบในห้องปกครอง ซึ่งก็มีผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาด้วย การเจรจาดูไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ เพราะแม่ของฝั่งนั้นพยายามที่จะเอาเรื่องให้ได้
"คุณครูต้องจัดการนะ ทำลูกฉันหัวแตกขนาดนี้ ไล่ออกไปเลยนะ !"
"ใจเย็น ๆ นะคะผู้ปกครอง"
"จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไงคะ ลูกฉันเข้าโรงพยาบาลเลยนะคะ นี่ดีนะคะที่เอกซเรย์แล้วกะโหลกไม่ร้าวไม่กระทบกระเทือนอะไร ! "
"ว่าละ ลูกเหมือนใคร ที่แท้ก็มีแม่แบบนี้นี่เอง" น้ำตาลพูดแผ่ว ๆ แต่เสียงกระซิบของเธอดันมีหูดีได้ยินและมองเธอตาขวาง นั่นก็คือนายหัวคาวี
"ครูให้เพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์ มาช่วยกันบอกเหตุการณ์ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นด้วยค่ะ"
"เกิดอะไรขึ้น ! ก็เด็กคนนี้มันนิสัยเสีย ยังต้องหาพยานอะไรอีก"
"ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ หนูชื่อนงนุชค่ะ เป็นเพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์ ตังมาหาเรื่องน้ำตาลก่อน พูดลามปามพ่อแม่น้ำตาลว่าพ่อแม่ของน้ำตาลหนีตายจนเหลือน้ำตาลแค่คนเดียว ก็เลยต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ และบอกว่าแม่ของตัวเองเป็นคนบอกมา"
พอพูดจบก็เหมือนจะกลายเป็นหนังคนละม้วน แม่ของตังเริ่มเก็บอาการเก็บสีหน้าของตัวเองไม่อยู่ เพราะสายตาที่ดุร้ายของนายหัวคาวีกำลังจ้องมองอยู่ เป็นใครใครก็ต้องกลัวแหละ
"ตังไม่ได้พูดแค่นี้หรอกค่ะ แต่ยั่วจนน้ำตาลทนไม่ได้ต่างหาก เราคุยกันอยู่ดี ๆ แต่ตังพูดแทรกขึ้นมาเอง พูดทำร้ายจิตใจคนอื่นก่อน น้ำตาลก็เลยหมดความอดทนค่ะ"
"นะ นี่เธอ อย่ามาแต่งเรื่องนะ เป็นเพื่อนกันใช่ไหม นี่กำลังเข้าข้างเพื่อนตัวเองอยู่นะ"
"หนูไม่ได้เข้าข้างค่ะ เพื่อนในโรงอาหารตั้งกี่คนก็เห็นเหมือนกันหมด ไปถามดูก็ได้ค่ะ แล้วอีกอย่าง ตังก็บอกว่ารู้เรื่องนี้มาจากแม่ของตัวเอง หนูคงพูดเองไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าไม่ได้เห็นไม่ได้ยินมากับหู"
"ก็คือ เป็นการทะเลาะกันของเด็กนะคะคุณแม่ ครูเองก็ไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง แต่เหตุมันก็เกิดจากตังไปหาเรื่อง เอาเป็นว่า ค่าใช้จ่ายในการไปหาหมอที่โรงพยาบาล ทางโรงเรียนจะรับผิดชอบให้ และจะให้น้ำตาลขอโทษตังนะคะ และจะให้ตังขอโทษน้ำตาลเหมือนกัน ที่พูดจาแบบนั้นใส่น้ำตาล"
"อะไรกันคะ จบง่ายแค่นี้เลยเหรอ ?"
"จะจบยากก็ได้นะครับ ขึ้นโรงขึ้นศาลก็ได้ถ้าอยากไป แต่ผมว่าตำรวจคงไม่รับเรื่องหรอกครับ เพราะมันเป็นแค่เด็กทะเลาะกัน และที่ลูกสาวหัวแตกก็เพราะความปากหมาของตัวเอง จะป้อนอะไรใส่สมองของลูก แม่รบกวนมีก่อนนะครับ และเรื่องของคนอื่นไม่ต้องยุ่ง อย่าให้ผมได้ยินเรื่องนี้เข้าหูอีก ไม่งั้นเป็นเรื่องแน่" นายหัวคาวีพูดขึ้น เขาเงียบมาตลอด นั่งฟังทุกอย่าง เรียบเรียงเหตุผลต่าง ๆ และค่อนข้างรู้สึกรำคาญคำพูดของผู้ปกครองอีกฝ่ายเหมือนกัน
น้ำตาลหันมองคนข้าง ๆ ด้วยความตกใจ บวกกับแปลกใจ เพราะที่เธอคิดมาตลอดคือ เขาจะต่อว่าเธอต่อหน้าคนอื่น ไม่คิดว่าจะต่อว่าแม่ของอีกฝ่ายจนหน้าเสียไปเลย พูดไม่กี่คำ แต่เล่นเอาอีกฝ่ายหน้าซีดเผือดเลยทีเดียว
"ทุกอย่างจบนะครับ เรื่องการตายของพ่อแม่น้ำตาล รบกวนคนที่มีสมองไม่พูดถึงนะครับ เพราะมันเป็นเรื่องภายในครอบครัว คนอื่นมายุ่ง เรียกง่าย ๆ ก็เสือกแหละครับ โตแล้วนะครับไม่ใช่เด็ก"
"อะ เอ่อ...ถะ ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรแล้วนะคะ เด็ก ๆ ขอโทษกันซะนะคะ" ครูพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ขนาดครูยังรู้สึกเย็นยะเยือกเลย
"ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมครับครู ?"
"ค-ค่ะ ๆ จบแล้วค่ะ"
"ถ้างั้น ขอตัวกลับนะครับ"
"ค่ะ ๆ"