ตอนที่ 9 เขาคงลืมไปแล้วมั้งว่าเธอเป็นเมีย

1250 Words
จากคราแรกที่การสนทนาเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยกลุ่มย่อยๆหลายกลุ่ม ไม่นานก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ ทุกคนในโต๊ะต่างก็มีส่วนร่วมพูดคุยในเรื่องเดียวกัน มีเพียงพุดน้ำบุษย์คนเดียวที่ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี กระทั่งครึ่งชั่วโมงผ่านไป... การสนทนาของทุกคนยังคงดำเนินไปต่อเรื่อยๆ ทว่าพุดน้ำบุษย์ไม่มีอารมณ์ที่จะอยากฟังต่อสักนิด ทุกคนกำลังยิ้มแย้มพูดคุยกันสนุกสนานสวนเสเฮฮาเหมือนไม่ได้เจอกันมานานแรมปี มีเพียงพุดน้ำบุษย์คนเดียวที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จามาตั้งแต่เริ่มแรกที่ทุกคนหันไปคุยเรื่องคลินิกของคุณหมอสาวสวยที่กำลังจะเปิดในอีกไม่นาน กระทั่งตอนนี้ก็ยังนั่งนิ่งเพราะไม่รู้จะคุยอะไร นอกจากไม่อยากคุยหญิงสาวก็ยังไม่อยากฟังมันขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ในโต๊ะนั่งกันอยู่หลายคน... แต่ทว่าเธอกลับรู้สึกหงอยเหงาเดียวดายอ้างว้างไม่ต่างจากการนั่งคนเดียวในสถานที่ไม่คุ้นเคย หรือบางทีถ้าเธอได้นั่งคนเดียวอาจจะไม่รู้สึกเหงาเหมือนอย่างตอนนี้ก็ได้ คนอื่นเธอไม่ติดใจไม่คิดที่จะเอามาเป็นอารมณ์น้อยใจให้รู้สึกไม่ดีเพราะทุกคนต่างก็ไม่อยากหลุดออกจากวงสนทนา แต่สามีเธอนี่สิ... ทั้งที่เราสองคนนั่งข้างกันแท้ๆทว่าความรู้สึกของเธอกลับเหมือนว่าเราอยู่ไกลกันคนละมุมโลก ปิยังกูรคงลืมไปแล้วจริงๆว่าพาเธอมางานนี้ด้วย... และตอนนี้หญิงสาวก็กำลังนั่งหงอยเหงาอยู่ข้างๆเขา เหงาตัวเท่าบ้าน เหงาจนอยากร้องไห้ ครืดๆ พุดน้ำบุษย์ก้มหน้ามองโทรศัพท์ที่มีสายโทร.เข้าก่อนจะหันไปเรียกสามี บอกให้เขารับรู้ว่าเธอจะออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก "พี่โปรด... บัวออกไปคุยโทรศัพท์นะคะ" "อือ" สามีของพุดน้ำบุษย์แค่หันมาพยักหน้ารับรู้ เสร็จแล้วก็หันกลับไปร่วมวงสนทนากับคนอื่นๆในโต๊ะต่อ จะถามกันสักคำก็ไม่มีว่าใครโทร.มา จะออกไปคุยโทรศัพท์ที่ไหน ให้ไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามีตัวตน ไม่ใช่ทำเหมือนว่าเรื่องที่พุดน้ำบุษย์บอกเขามันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ... เธอบอกเขาก็แค่พยักหน้ารับไปตามหน้าที่ หรือบางทีเขาก็คงลืมไปแล้วมั้งว่าเธอยังเป็นเมียของเขาอยู่ ดวงตาคู่สวยไหววูบแรงจนต้องกระพริบตาปริบๆ ริมฝีปากบางเม้นแน่น รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจสามีจนพูดไม่ออกกระบอกตาร้อนผ่าวจนต้องรีบลุกออกจากโต๊ะราวกับกลัวว่าถ้าอยู่นานกว่านี้อีกแค่เสี้ยววินาทีน้ำตาที่พยายามกักกลั้นเอาไว้จะร่วงแหมะลงมาประจานความอ่อนแอให้รู้สึกอับอายขายขี้หน้าแขกในโต๊ะไปมากกว่านี้ เมื่อก่อนปิยังกูรจะนิ่งเงียบ เย็นชา ปล่อยปะละเลยหรือว่าร้ายกาจแค่ไหนไม่เคยมีผลใดๆกับความรู้สึกของเธอ รู้ดีว่าเราสองคนแต่งงานกันเพราะอะไร แต่ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่... ความรู้สึกของเธอมันมาไกลมากจนน่ากลัว ที่ตลกร้ายคือมันกู่ไม่กลับ อยากจะดึงเอาความรู้สึกช่วงแรกที่แต่งงานคืนกลับมาก็ทำไม่ได้ สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี แต่ทว่าเธอทำไม่ได้ เพราะความรู้สึกของเธอมาไกลมากจริงๆ เมื่อเดินพ้นโต๊ะก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง... ตั้งแต่แต่งงานกันมาจวนจนจะครบสี่ปีอีกไม่กี่เดือน นี่เป็นครั้งแรกที่พุดน้ำบุษย์รู้สึกว่าเธอไม่ควรมางานเลี้ยงคืนนี้ นอนโง่ๆเหงาๆอยู่ที่บ้านคนเดียวยังจะรู้สึกดีกว่านี้ ปิยังกูรไม่ผิดที่หัวใจหนักแน่นเหมือนดั่งภูผา ถ้าจะผิดก็ผิดที่เธอ... ที่เผลอใจเอาง่ายๆ ผิดที่เอาใจลงไปเล่นทั้งที่รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าระหว่างเรามันไม่ควรมีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง หัวใจมันก็แค่อวัยวะไม่มีกระดูก เป็นแค่ก้อนเนื้ออ่อนๆนิ่มๆทว่าใยมันถึงทำร้ายเราได้มากขนาดนี้ ทำให้เราเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้... พุดน้ำบุษย์คุยโทรศัพท์กับพี่สาวที่โทร. ข้ามประเทศมาจากสิงคโปร์เพียงเพื่อจะถามน้องสาวว่าร้านบักกุ๊ดเต๋ที่เคยไปกินด้วยกันครั้งล่าสุดชื่อร้านอะไร เมื่อได้คำตอบก็เม้าท์มอยหอยสังข์กันต่อใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีก็วางสาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหลานชายตัวอวบอ้วนจ้ำม่ำวัยสามขวบปลายซะมากกว่าที่ยื่นหน้ากลมๆแป้นแล้นๆเข้ามาคุยจ้อไม่หยุด พูดชัดบ้างไม่ชัดบ้างเพราะฟันด้านหน้าหายไปสองซี่แต่มีความพยายามอยากเล่าให้น้าฟังว่าวันนี้ป๊ะป๊ากับหม่ามี้พาไปเที่ยวสวนสนุกแล้วตัวเองได้เล่นเครื่องเล่นอะไรบ้างที่ยูนิเวอร์แซล เธอกับพี่สาวได้พูดคุยจริงจังไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ พุดน้ำบุษย์เคยพูดเล่นๆแต่ถ้าได้ก็เอาจริงกับพี่สาวและพี่เขยว่าเธอขอเป็นแม่ทูนหัวให้หลานชาย ถ้าทั้งสองคนอยากส่งลูกมาเรียนกรุงเทพก็ให้ส่งมาเลยไม่ต้องลังเลหรือว่ากังวลเธอพร้อมที่จะเป็นธุระจัดการทุกอย่างให้และพร้อมซัปพอร์ทเต็มที่ แต่เชื่อเถอะว่าคนที่หายใจเข้าเป็นเมียรักหายใจออกเป็นลูกขวัญอย่างพี่เอื้อการย์พี่เขยของเธอไม่มีทางยอมให้ลูกชายห่างสายตาเด็ดขาด หลังจากที่ได้คุยกับหลานชายคนโปรด ความน่ารักน่าหยิกน่าเอ็นดูที่มีจนล้นเหลือก็ทำให้พุดน้ำบุษย์ยิ้มได้ ความรู้สึกเศร้าอึมครึมวูบโหวงหายใจไม่ออกถึงจะไม่ได้หายไปซะทีเดียวทว่าก็รู้สึกดีขึ้นมาก มีอารมณ์สุนทรีเปรมปรีดาอยากจะเงยหน้าแหงนมองดาวดวงดวงน้อยๆบนท้องฟ้านภาลัย... ประกายเศร้าดูมีความหวังขึ้นมา จะบอกว่าหญิงสาวกำลังใช้ธรรมชาติบำบัดก็ไม่ผิด เพราะความเศร้าความเจ็บปวดที่มีต้นตอสาเหตุมาจากปิยังกูรค่อยๆเลือนหายไปทีละนิดๆ เหลือแค่ส่วนที่ตกตะกอนอยู่ที่ก้นบึ้งหัวใจซึ่งคาดเดาว่าน่าจะไม่สามารถลบเลือนจางหายหรือว่าย่อยสลายหายไปง่ายๆ พระจันทร์ครึ่งดวงที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้านภาลัยยามค่ำคืนโดดเด่นท่ามกลางดวงดาวนับร้อยนับพันช่างเหมือนเธอตอนนี้ไม่ผิดเพี้ยน... ยืนหนึ่งในเรื่องความงดงาม โดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร สว่างไสวทุกสปอร์ตไลท์ส่องถึง เรียกทุกสายตาให้หันมามอง ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนรอบข้าง แต่ทว่า... ดวงจันทร์ดวงนั้นมันช่าง อ้างว้าง และ...โดดเดี่ยว ดูแล้วก็คงเหงาไม่น้อย ซึ่งไม่ต่างจากเธอตอนนี้ ใครบอกว่าดวงดาวเป็นเพื่อนกับดวงจันทร์ บอกเคยว่าไม่จริง "ก็นึกว่าผู้หญิงที่ไหนมายืนทำมิวสิกวิดีโออยู่ตรงนี้ที่แท้ก็น้องดอกบัวบูชาพระนี่เอง"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD