แววตาคมถามพกพาความขี้เล่นที่น่าโมโห เหมือนกับสนุกที่ได้แกล้งเธอ ดุจมาตาจึงชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจ
“ไม่ต้องมายั่ว ฉันไม่หลงกลคุณหรอก”
“แบบนี้ต้องพิสูจน์”
“คุณจะทำอะ...อุ๊บ!”
ดุจมาตาร้องถามพลางยกมือดันอกตั้งใจจะผลักอกเขาออกไป เมื่อระยะห่างระหว่างกันใกล้ชิดจนเกินงาม พาลให้หัวใจเต้นตุบตับวาบหวาม แต่กายแกร่งกลับแนบชิดกดทับตัวเธอจนเหมือนจะจมหายเข้าไปในตัวเขา ริมฝีปากหยักได้รูปทาบประกบปากเธออย่างแม่นยำ บดเบียดจูบเคล้ารุกเร้าอย่างเร่าร้อน สอดลิ้นพุ่งฉกรัดลิ้นเธอราวกับงูที่รัดเหยื่ออันโอชะ มือไม้ก็เคลื่อนไหวไม่ต่างกัน ลูบโลมไปยังจุดอ่อนไหวนำพาความรุ่มร้อนซึมแทรกสู่กายเธอให้วูบวาบใจหวิวไปทั้งดวง ร่างกายลุกพรึ่บร้อนฉ่าไปทั้งตัว
“อื้อ..อ...”
หญิงสาวครางซ่าน เมื่อคชาถอนปากออกพรมจูบดูดไซ้ไต่มาตามแนวคาง ลากลิ้นเล็มเลียมาที่ติ่งหู ขบงับดุนดันพ่นลมหายใจร้อนผ่าวลามรดผิวสาวไวสัมผัส เล่นเอาเธอขนลุกซู่ เนื้อตัวเกร็งกระตุกคล้ายมีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่าน หัวใจยิ่งโหมกระหน่ำเต้นโครมคราม
“ปละ ปล่อยฉันนะ!”
ดุจมาตาแหวใส่เขาปากคอสั่น หน้าแดงก่ำเหมือนถูกพิษไข้เล่นงาน อารมณ์กระกระเจิดกระเจิงเพราะเขาปลุกเร้า แต่เจ้าตัวหาฟังไม่ คชายังคงหยอกล้อคลอเคลียใบหูของเธอ ทั้งจูบทั้งงับห่อลิ้นแหย่แยงเข้าไปในรูหูเล็กๆ ร่างทั้งร่างขนลุกเกรียว ปลายเท้าหงิกงอ สองมือจิกบ่าบึกบึนฝังเล็บระบายความเสียวซ่านที่ถูกรุมเร้าจนร่างกายอ่อนเปลี้ยอิงซบกับอกกว้าง
“ผมตีตราจองคุณเอาไว้แล้ว ผู้ชายคนไหนก็ไม่สามารถลบรอยของผมได้ทั้งนั้น”
น้ำเสียงดึงดูดสะกดใจคนฟัง ก่อนริมฝีปากหยักได้รูปจะกดจูบหนักๆ ทับรอยดูดสีกุหลาบที่อยู่หลังใบหู เพื่อให้เธอจดจำฝังใจว่าทั้งตัวทั้งใจเธอเป็นของเขาเพียงคนเดียว
ดวงตาคู่ฉ่ำปรือเพราะฤทธิ์ใคร่มองเขา สบสายตาลุ่มลึกคุกรุ่นไม่ต่างจากเธอ ราวกับมีเวทย์มนตร์ทำให้คนตกหลุมพรางได้อย่างง่ายดาย ในใจเริ่มสับสน ตกลงคชาแค่หยอกเธอหรือเอาจริงกันแน่...
เธอชักจะตามเขาไม่ทันแล้วสิ!
ผู้ชายคนนี้เชี่ยวชาญเกินไป คชาเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นเสือผู้หญิง เก่งในการล่อลวงเอาใจผู้หญิงโดยแท้ รอยยิ้มร้ายๆ ช่างเย้ายวนใจ พูดแต่ละคำทำให้ใจคนหวั่นไหวรู้สึกดี ยอมพลีกายมอบใจให้เขาเชยชม แม้จะอยู่เต็มอกว่าเป็นเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคืน แต่ก็ยังไม่อาจต้นทานเสน่ห์อันเหลือร้ายของเขาได้
ขนาดเธอที่มีจิตใจมุ่งมั่นคิดแต่จะแก้แค้น ละทิ้งซึ่งความรัก ยังถูกเขาชักนำอารมณ์ให้เคลิบเคลิ้มคล้อยตาม ทั้งที่ควรรังเกียจ ควรปฏิเสธ ผลักไสเขาให้อยู่ห่างๆ แต่เธอกลับรู้สึกรู้สมไปกับรสสัมผัสของเขา ยินยอมให้เขาปลุกเร้าใกล้ชิดโดยไม่นึกขยะแขยงเลยสักนิด ถึงขั้นคิดไปว่า...
นานเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกใจเต้นแรงแบบนี้?
กับพีรวิชญ์แม้จะเคยจูบกันก็ยังไม่ทำให้รู้สึกดีอย่างนี้ หัวใจไม่ได้เต้นแรงเลือดสูบฉีดจนพุ่งกระฉูด จูบของเขาไม่ได้หวือหวาชวนให้รู้สึกเร่าร้อนเหมือนจูบของคชา แม้จะนุ่มนวลแต่กลับไม่หวานรัญจวนใจ ไม่มีความรู้สึกซาบซ่านใจละลายเหมือนที่รู้สึกกับผู้ชายตรงหน้า
ดุจมาตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รวบรวมสติให้คงเส้นคงวา จะต่อกรกับผู้ชายเจ้าเล่ห์อย่างคชา เธอต้องมีสติให้มากๆ จะได้ไม่หลงกลเขา ถูกเขาปั่นหัวเป็นลูกข่างตามใจชอบ
“คนอย่างคุณนี่มีอารมณ์ทุกที่ทุกเวลาเลยรึไงฮึ!”
เธอผลักเขาออกเพื่อลดอาการใจสั่นหวิวๆ ยิ่งใกล้กันก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาล ที่พร้อมจะลากเธอเข้าสู่วังวนเสน่ห์ของเขา
“ไม่ใช่กับทุกคน แต่เฉพาะบางคน”
สายตาที่จ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มบนมุมปากราวจะสื่อความใน ทำให้หญิงสาวหน้าแดงหูแดงร้อนเห่อจนแทบไหม้ ทำไมจะไม่รู้ว่า ‘บางคน’ ที่ว่าน่ะ คชาพูดถึงใคร...
“...” จู่ๆ ก็หมดคำจะพูด เพราะยิ่งพูดเขายิ่งชงกลับมาหาเธอ
“ผมมีอารมณ์ทุกที่ทุกเวลาแค่เฉพาะกับคุณคนเดียวเท่านั้น...ตาล”
คิดว่าเงียบแล้วจะรอดตัว ที่ไหนได้...เขาก็ยังขยันสร้างความวาบหวามให้กันอยู่ดี!
ดุจมาตาเบิกตากว้าง หัวใจเต้นกระหน่ำจนแทบวาย เสียงแหบทุ้มเหมือนมีพลังแม่เหล็กดูดกระชากมันออกมา เธอบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ อย่าไปฟังคำเขา อย่าไปสนใจ อย่าไปสบตาวับวามคู่นี้ หายใจเข้าสิ...หายใจลึกๆ แต่เหมือนเธอจะลืมวิธีหายใจไปเสียอย่างนั้น
‘ตาล’
ก็แค่ชื่อ... แค่คำเรียกขานที่ใครๆ ต่างเรียกเธอเป็นประจำ แต่ทำไมพอออกจากปากเขา ถึงให้ความรู้สึกอ่อนหวานปานมีรถขนอ้อยพลิกคว่ำอยู่ในใจเธออย่างนี้ล่ะ?
ไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง คชาย้ายกับไปที่เก้าอี้ตัวเองตอนไหน แล้วพีรวิชญ์กับคู่ควงของคชากลับมาที่โต๊ะตั้งแต่เมื่อไร ในสมองและสายตาเธอยังคงเห็นผู้ชายเจ้าเล่ห์แย้มยิ้มยั่วเย้าให้กันไม่ยอมเลือนหายไป หัวใจเธอก็ยังคงเต้นระส่ำหวั่นไหวไม่ยอมหยุดเช่นเดียวกัน