ตลอดระยะเวลาหลายวันที่นั่งทำงานในห้องเดียวกับภคชนท์ฉัตรญาดาก็สังเกตท่าทางและใบหน้าของเขาอยู่ตลอด เธออยากจะเชื่อเหลือเกินว่าผู้ชายคนนี้คือผู้ชายคนเดียวกับคนที่เธอรู้จักเมื่อสิบปีก่อนแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มถามจากตรงไหน ในแต่ละวันงานยุ่งจนเธอไม่มีเวลาส่วนตัวคุยกับเขาเลยจนกระทั่งถึงวันหยุด
ฉัตรญาดาเช็กตารางออกตรวจของหมอภูวริษและเลือกที่จะไปใกล้เวลาเลิกงานของเขาในบ่ายวันเสาร์ซึ่งเขาออกตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวทำประวัติผู้ป่วยและนั่งรอตรวจอย่างไม่รีบร้อนเพราะคิดว่าถ้าตนเองได้ตรวจเป็นคนสุดท้ายก็จะมีโอกาสคุยกับคุณหมอได้มากขึ้นเมื่อถึงคิวตรวจพยาบาลก็เรียกเธอเข้าไปด้านในห้องตรวจ
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” ฉัตรญาดากล่าวทักทายคุณหมอหนุ่ม
“อ้าว....คุณญาดามาได้ยังไงมี ธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
“ฉันมาหาหมอก็ต้องไม่สบายสิคะ”
“เป็นอะไรครับ เชิญนั่งก่อน”
“รู้สึกปวดต้นคอนิดหน่อยค่ะสงสัยจะก้มหน้าทำงานมากเกินไป”
“เพื่อนผมใช้งานหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันไม่เคยทำงานนั่งโต๊ะก็เลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่ค่ะ”
“ผมขออนุญาตตรวจนะครับ”
คุณหมอหนุ่มลุกขึ้นตรวจอาการของหญิงสาวไม่นานก็บอกกับเธอว่าอาการที่เธอเป็นอยู่เป็นอาการเริ่มต้นของออฟฟิศซินโดรมและแนะนำให้เธอขยับตัวและออกกำลังกายบริหารต้นคอระหว่างนั่งทำงานบ้าง
“ขอบคุณค่ะคุณ”
“หมอเดี๋ยวผมจะจัดยาทานให้นะครับถ้าหายปวดก็เลิกทานได้เลย แต่ต้องทานยาหลังอาหารทันที คุณอยากได้ครีมทาแก้ปวดไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอแค่ยาทานก็ได้” หญิงสาวรีบปฏิเสธเพราะอันที่จริงแล้วเธอไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยเพียงแต่อยากจะมาเจอเขาเท่านั้น
“วันนี้เป็นวันหยุดของคุณใช่ไหมญาดา”
“ค่ะ แต่หมอขยันจังเลยนะคะวันเสาร์ก็ยังมาตรวจ”
“ผมตรวจแค่ช่วงบ่ายวันเสาร์นะครับเบื่อๆ ไม่รู้จะไปไหนก็เลยรับขึ้นเวรที่โรงพยาบาลเพิ่ม กลับจากโรงพยาบาลแล้วคุณญาดามีธุระจะไปที่ไหนหรือเปล่า” ภูวริษมองนาฬิกาและเห็นว่ากำลังจะหมดเวลาออกตรวจของตนเอง
“ก็คงไปหาอะไรทานก่อนกลับคอนโดค่ะ”
“ถ้างั้นก็ดีเลย คุณญาดาหิวหรือยังครับ”
“ยังค่ะ คุณหมอถามทำไมคะ”
“ไปทานอะไรเป็นเพื่อนผมหน่อยดีมั้ยล่ะอีกประมาณ 15 นาทีผมก็จะเลิกงานแล้วก็คงพอดีกับที่คุณได้รับยา”
“ไม่รบกวนคุณหมอจนเกินไปใช่ไหมคะ มาให้ตรวจแล้วยังจะให้พาไปทานอาหารอีก”
“ไม่หรอกผมอยากหาคุณทานข้าวด้วยน่ะ คุณคงไม่ว่าอะไรนะถ้าจะไปกับผมตามลำพังแค่สองคน”
“ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ถ้างั้นฉันขอไปรับยาก่อนนะคะ เสร็จแล้วจะนั่งรอที่หน้าห้องค่ะ”
“ครับ”
ฉัตรญาดาไปรับยาและกลับมานั่งรอภูวริษที่หน้าห้องตรวจไม่นานเขาก็เดินมาออกมา
“ไปรถผมนะครับ”
“ฉันว่าเอารถไปคนละคันดีกว่าค่ะ ขากลับคุณหมอจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาส่ง เราจะไปทานร้านไหนกันดีคะ”
“ร้านเดิมดีไหมล่ะคุณจำทางได้หรือเปล่า”
“จำได้ค่ะ ถ้างั้นเจอกันที่ร้านนะคะ”
ฉัตรญาดาและภูวริษนั่งทานอาหารไปด้วยคุยกันไปด้วยอย่างไม่เร่งรีบเท่าไหร่
“คุณภูกับบอสรู้จักกันมานานแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเริ่มเปิดคำถาม
“ใช่ผมกับเขาเรียนด้วยกันตั้งแต่มัธยมน่ะ”
“เหรอคะ ฉันนึกว่าบอสเรียนมัธยมที่ต่างประเทศเสียอีกนะคะ”
ภูวริษชะงักเล็กน้อยเพราะเผลอหลุดพูดประวัติของเพื่อนออกไป
“ก็เป็นช่วงมัธยมน่ะครับ คุณญาดาอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนของผมใช่ไหม” ภูวริษรู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังสืบอะไรบางอย่างจากเขา และเขาก็จะตามน้ำไปก่อน
“ฉันสงสัยอะไรบางอย่างค่ะ”
“อะไรเหรอบอกผมได้ไหม”
“บอสหน้าตาเหมือนผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก”
“แล้วเขาใช่คนเดียวกันหรือเปล่าล่ะ”
“ฉันไม่กล้าถามหรอกค่ะ เพราะชื่อกับนามสกุลของเขาไม่เหมือนกัน อีกทั้งการศึกษาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้” ฉัตรญาดามีสีหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้างั้นคุณยังสงสัยอะไรอีกล่ะ”
“ไม่รู้สิคะยิ่งได้อยู่ใกล้ได้ทำงานกับบอสมันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกคิดถึงผู้ชายคนหนึ่งเอามากๆ”
“ผู้ชายคนนั้นคงเป็นคนสำคัญของคุณญาดาใช่ไหม เป็นคนรักเก่าใช่หรือเปล่าล่ะ”
“ไม่ใช่นะคะ คุณภูอย่าเพิ่งเข้าใจผิด”
“แล้วตอนนี้ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“ให้ผมช่วยตามไหมบอกชื่อกับนามสกุลมาสิ พ่อผมเป็นตำรวจอาจจะพอมีเส้นสายสืบเรื่องนี้อยู่บ้าง”
“จริงเหรอคะ ถ้าคุณพ่อคุณภูเป็นตำรวจก็น่าจะพอรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนักโทษถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำแล้วพวกเขาจะไปที่ไหนต่อ”
“แต่ละคนก็มีวิถีชีวิตต่างกันไปครับบางคนก็ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่บางคนก็กลับไปทำผิดอย่างเดิมว่าแต่คุณญาดาถามแบบนี้ทำไม”
“ก็ผู้ชายที่ฉันพูดถึงเขาเคยรับโทษอยู่ในเรือนจำค่ะ แต่ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย”
“ทำไมไม่ลองไปถามญาติของเขาดูล่ะครับ”
“เขาไม่มีญาติที่นี่เลยค่ะ ฉันมืดแปดด้านไปหมดไม่รู้จะไปตามเขาที่ไหน”
“ทำไมถึงอยากตามเขาล่ะ”
“ฉันรู้สึกผิดกับเขาค่ะอยากจะเจอเขาอีกครั้ง”
“เวลามันผ่านมานานหรือยังครับ”
“ผ่านมาเกือบสิบปีแล้วค่ะ”
“ผ่านมาตั้งสิบปีแล้วทำไมจู่ๆ คุณถึงอยากจะขอโทษเขาขึ้นมาล่ะ”
“เพราะฉันเห็นหน้าบอสค่ะมันเลยทำให้ฉันคิดถึงผู้ชายคนนั้นคิดถึงช่วงเวลาที่เราสองคนเคยสนุกกันในวัยมัธยมค่ะ”
“ดูท่าทางคุณก็สนิทกับผู้ชายคนนั้นดีนะแต่ทำไมบอกว่าไม่ใช่แฟนล่ะ”
“ก็เขาไม่ใช่แฟนของฉันนี่คะ เขาเป็นคนรักของพี่ฉัน”
“ถ้ายังงั้นคุณก็ลองไปถามพี่สาวคุณสิ”
“ถามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะเพราะหลังจากที่เขารับโทษไปอยู่ในสถานพินิจพี่สาวฉันก็ไม่เคยสนใจเขาอีกเลย พี่สาวฉันเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายมากๆ”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ เธออาจจะมีเหตุจำเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เลยค่ะ ผู้ชายคนนั้นเขาเขียนจดหมายมาหาพี่สาวฉันแต่พี่สาวฉันไม่เคยคิดแม้แต่จะเปิดอ่าน”
“น่าสงสารเขานะครับ”
“ค่ะ ฉันสงสารเขามากๆ ก็เลยตอบจดหมายและให้กำลังใจเขาแต่ฉันก็รู้สึกผิดมากๆ”
“จะรู้สึกผิดทำไมล่ะครับคุณติดต่อเขา เขาก็คงรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ยังมีคนคิดถึงเขาอยู่”
“ใช่ค่ะแต่ตอนนั้นฉันเขียนจดหมายและไม่ได้บอกว่าเป็นตัวฉันที่เขียน คนที่อยู่ด้านในนั้นก็คงคิดว่าพี่สาวของฉันยังมีใจให้เขาอยู่และคงจะรอให้เขาออกมา แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยค่ะ ขอโทษนะคะที่ฉันพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“ไม่หรอกคุณญาดาพูดกับผมได้ทุกเรื่องนะผมรู้เรื่องบางเรื่องถ้าเราเก็บไว้ในใจคนเดียวมันจะทำให้เราเครียด ระบายมาเถอะครับถือว่าผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็แล้วกัน”
“แล้วคุณเขียนจดหมายหาเขานานไหมครับ”
“ฉันเขียนจดหมายติดต่อกับเขาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาอยู่ที่สถานพินิจแต่พอเขาย้ายเข้าไปในเรือนจำเขาก็ไม่เขียนจดหมายมาอีกเลยและฉันก็ไม่รู้ว่าเขาถูกย้ายไปที่ไหน ฉันเองก็เด็กเกินกว่าที่จะไปตามสืบแล้วตอนนั้นตัวเองก็ต้องตั้งใจเรียนมีหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงที่เขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ”
“น่าเห็นใจทั้งคุณและเขานะครับ”
“สำหรับตัวฉันไม่น่าเห็นใจอะไรหรอกค่ะเพราะฉันใช้ชีวิตได้ตามปกติ ฉันเป็นห่วงก็แต่เขาเท่านั้นไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างจะมีครอบครัวหรือยังจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือเปล่า เขาจะได้เรียนต่ออย่างที่เขาตั้งใจไว้หรือเปล่า ฉันไม่มีโอกาสรู้เรื่องเขาเลย” หญิงสาวพูดแล้วยิ่งเศร้า
ภูรวริษเห็นท่าทางของเธอแล้วก็รู้สึกเห็นใจและอยากจะบอกให้เธอรู้เหลือเกินว่าผู้ชายที่เธอกำลังพูดถึงและห่วงใยนั้นตอนนี้เขามีชีวิตที่สุขสบายดีแต่ก็ไม่กล้าจะพูดออกไปเขาต้องเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้กับภคชนท์ฟังก่อนจากนั้นก็ค่อยให้ภคชนท์เป็นคนตัดสินใจเองว่าจะบอกเรื่องนี้กับฉัตรญาดาหรือเปล่า