ปรางทิพย์เดินยิ้มออกมาที่ห้องรับแขกอย่างอารมณ์ดี เมื่อเธอมองเห็นร่างสูงโปร่งของเตชินทร์เพื่อนสนิทที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันที่ต่างประเทศที่ตอนนี้เขากำลังนั่งอ่านหนังสือนิตยสารอยู่ในห้องรับแขก
“มาได้ยังไงเนี่ย!!” ปรางทิพย์พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นและดีใจ
“ก็บอกแล้วไงจะรีบตามมาไม่ดีใจเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ
“ดีใจสิ… แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้” ปรางทิพย์พูดออกมาด้วยท่าทางดีใจ
“เพื่อนๆ บ่นคิดถึงปรางกันใหญ่เลยนะ” เตชินทร์ที่ดูนิ่งก่อนหน้า ตอนนี้กลับพูดออกมาด้วยท่าทางมีความสุขก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือของหญิงสาวเอาไว้
“จริงเหรอ ปรางก็คิดถึงเพื่อนๆ เหมือนกัน”
ปรางทิพย์รีบดึงมือออกจากมือของเตชินทร์ทันที ไม่คิดเลยว่าเตชินทร์จะกล้าจับมือเธอแบบนั้น แล้วเธอก็ยังไม่ได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเขาและเธอคงเป็นได้แค่เพียงเพื่อนเท่านั้น ถึงแม้ว่าเตชินจะไม่ยอมรับก็ตาม
“แล้วนี่ปรางสบายดีหรือเปล่า” เตชินทร์เอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ปรางสบายดี” ปรางทิพย์ตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วทำไมปรางดูผอมลงล่ะ” เตชินทร์มองดูปรางทิพย์ด้วยท่าทางเป็นห่วง
“ไม่ผอมหรอก… ปรางก็เป็นแบบนี้แหละ” ปรางทิพย์ตอบไปตามความจริงเพราะรูปร่างเธอก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว
เตชินทร์เป็นลูกชายของนักธุรกิจ ฐานะทางครอบครัวก็ไม่ได้น้อยหน้าครอบครัวของปรางทิพย์สักเท่าไหร่ ซึ่งทางผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่เห็นเธอและเตชินทร์สนิทสนมกัน แต่สำหรับปรางทิพย์แล้วเธอกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรเกินกว่าคำว่าเพื่อนเลยแม้แต่น้อย…
“เตเสียใจเรื่องพี่โปรดด้วยนะ” เตชินทร์พูดออกมาเสียงเบาเพราะเขาเองก็เคยพูดคุยและสนิทกับโปรดปรานอยู่บ้าง
“ขอบใจนะ” ปรางทิพย์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติก่อนที่จะยิ้มบางๆ ออกมา
ถึงแม้วันเวลาจะผ่านไปพอที่จะเยียวยาให้ความแค้นที่อยู่ในใจเธอลดลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความแค้นที่มีมันจะหายไปได้หมด มันยังคงอยู่ในใจเธอตลอดและรอแค่เวลาที่เธอจะได้แก้แค้นเขาเท่านั้นเอง…
ก่อนหน้านี้ปรางทิพย์เคยคิดว่าชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งและอ่อนโยนคนนี้น่าจะเป็นคนที่เหมาะสมกับเธอที่สุด แต่ติดเพียงในใจของเธอยังไม่ได้รักหรือรู้สึกกับเขาในฐานะคนรัก เธอเชื่อเสมอว่าวันเวลาต่อไปในวันข้างหน้าจะทำให้เธอเปลี่ยนใจมารักผู้ชายที่ดีและเพียบพร้อมทุกอย่างแบบเตชินทร์ได้
จนกระทั่งเธอได้มาเจอกับไตรภพก็ทำให้ผู้ชายที่ดีแบบเตชินทร์หมดความหมายไปในทันที
“แล้ววันนี้เตไม่ได้ไปทำงานเหรอ” หญิงสาวเอ่ยถามออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นเวลาทำงาน
“ตอนเย็นมีประชุม แต่เตโทรเลื่อนเป็นพรุ่งนี้แล้ว” เตชินทร์ตอบออกมาเสียงเรียบ
“อ้าว… ทำไมล่ะ” ปรางทิพย์ได้ยินที่เขาพูดถึงกับต้องรีบถามออกมาด้วยท่าทางสงสัย
“ก็จะได้มีเวลาอยู่คุยกับปรางนานๆ ไง” เตชินทร์พูดออกมาด้วยท่าทางที่จริงจัง
ในสายตาที่เตชินทร์มองปรางทิพย์ ช่างเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ความรักที่เขามีต่อเธอนั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการได้พูดคุย ได้เห็นหน้าและได้คอยช่วยเหลือให้เธอมีความสุข แค่นี้ก็เป็นสิ่งที่เตชินทร์พอใจมากแล้ว…
“เตไม่ได้ไปทำงานเหรอวันนี้ทำไมถึงได้มาคุยกับปรางจนถึงเย็นเลย”
คุณหญิงประไพพรรณเอ่ยถามลูกสาวที่เหลือเพียงคนเดียวเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนคุยกันนานตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็นที่เขาพึ่งจะขอตัวกลับ
“ปรางไล่เขากลับตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่ยอมไป” ปรางทิพย์พูดออกมาด้วยท่าทางน่าเบื่อ
“ถึงกับต้องไล่กลับเลยเหรอ” คุณหญิงประไพพรรณหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพอใจก่อนที่จะยกมือขึ้นลูบปอยผมที่นุ่มสวยเป็นเงาเบาๆ ด้วยความรัก
“ค่ะ” ปรางทิพย์รีบพยักหน้าตอบ
“เตเขาไม่ค่อยอยากไปทำงานหรอกค่ะ จ้องแต่จะมาหาปรางท่าเดียวเลย ปรางเลยบ่นให้ไม่รู้จักทำการทำงานซะเลย” หญิงสาวบ่นให้คุณแม่ฟัง
“ก็เตเขารักหนูมากน่ะสิ”
คุณหญิงประไพพรรณแกล้งพูดแซวลูกสาวขึ้นมา เพื่อที่จะได้สังเกตสีหน้าของลูกสาวว่าปรางทิพย์จะรู้สึกยังไงกับเตชินทร์ แต่เธอก็นิ่งเฉยไม่ได้มีท่าทางเขินอายอะไรเมื่อพูดถึงเตชินทร์เลยแม้แต่น้อย
“แต่ปรางไม่ได้รักเตแบบแฟนหนิคะ ปรางเห็นเตเป็นแค่เพื่อนสนิทคนหนึ่งมากกว่า” ร่างเล็กพูดออกมาเสียงเรียบ เพราะเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาจริงๆ
“แต่เขาก็นิสัยดีไม่ใช่เหรอ นิสัยดีไม่เจ้าชู้ทั้งที่เขาน่าจะทำได้ไม่ยาก” คุณหญิงประไพพรรณบอกลูกสาวด้วยท่าทางอ่อนโยน
“ค่ะ… แต่ปรางก็ไม่รักเขาหนิคะ แล้วปรางเองก็พูดกับเขาให้เข้าใจกันตั้งแต่แรกแล้ว เพื่อที่จะไม่ได้มาผิดใจกันทีหลังและถึงยังไงเรื่องระหว่างปรางกับเตก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะกันเป็นอย่างอื่นได้นอกจากคำว่าเพื่อนเท่านั้นค่ะ” ปรางทิพย์พูดออกมาเสียงเรียบ แต่ทุกอย่างที่เธอพูดออกมาเต็มไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“พูดออกมาขนาดนี้ไม่ใช่ว่าปรางมีใครที่อยู่ในใจแล้วหรือเปล่านะ” คุณหญิงประไพพรรณแกล้งแซวถามลูกสาวขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าปรางทิพย์ยังคงยืนยันที่จะมีสถานะกับเตชินทร์เพียงแค่เพื่อนเท่านั้น
“คุณแม่กำลังหลอกถามปรางอยู่เหรอคะ” ร่างบางถามออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ
“แม่ไม่ได้หลอกถาม แต่แม่แค่อยากรู้ว่าปรางมีใครอยู่ในใจแล้วหรือเปล่า ทำไมถึงได้ปฏิเสธเตชินทร์ขนาดนี้” คุณหญิงประไพพรรณยิ้มให้กับลูกสาว
“ปรางยังไม่มีใครหรอกค่ะ ปรางยังไม่พร้อมที่จะรักใคร” ปรางทิพย์ตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย
“ดีแล้วจ้ะค่อยๆ ดูกันไปเรื่อยๆ จะได้รู้นิสัยใจคอกันด้วย ยังไงก็หาคนที่ดีๆ เหมือนคุณพ่อนะ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
“ไปๆ มาๆ ยกยอคนข้างตัวเลยนะคะ” ปรางทิพย์พูดออกมาทันทีเพราะอดที่จะแซวคุณแม่ไม่ได้เลยจริงๆ
“ก็ต้องแบบนั้นสิ คนทำดีก็ต้องชมสิจริงไหม” คุณหญิงประไพพรรณหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
“ค่ะ” ปรางทิพย์ยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของผู้เป็นแม่ เพราะตั้งแต่ที่ครอบครัวสูญเสียโปรดปรานไปคุณแม่ก็ไม่ยิ้มเลยสักครั้ง
“ดูอย่างอากิ่งแก้วสิรายนั้นน่ะเขาชมสามีเขาแทบทุกวัน” คุณหญิงพูดออกมาเสียงเรียบเมื่อนึกถึงกิ่งแก้วน้องสาวของสามี
คุณอากิ่งแก้วนั้นรักสามีมากแค่ไหนใครๆ ก็รู้กันทั่ว เมื่อก่อนคุณอาประวิทย์นั้นเป็นเพียงแค่พนักงานรับส่งเอกสารในบริษัทเท่านั้น แต่ด้วยเขามีหน้าตาที่ดีเป็นทุนจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาทำงานด้านธุรการ
จนกระทั่งได้มาพบกับคุณอากิ่งแก้วที่เป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทและด้วยท่าทางกริยามารยาทเรียบร้อยและสายตาชื่นชมที่เขามีให้คุณอากิ่งแก้ว ซึ่งทำให้คุณอากิ่งแก้วตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นกันในบริษัท
และทุกวันนี้ความรักที่คุณอากิ่งแก้วมอบให้คุณอาประวิทย์ก็ไม่เคยที่จะลดน้อยลง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นตามเวลาขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็มักจะถูกไปทุกเรื่องอยู่เสมอ
“แม่หวังว่าลูกสาวของแม่จะได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ เหมือนกับที่แม่ได้แต่งงานกับพ่อของลูกนะ” คุณหญิงประไพพรรณเอ่ยบอกลูกสาวด้วยความรัก
ปรางทิพย์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เธอรับรู้ได้ถึงความรักและความหวังดีของคุณแม่เสมอ
..
คอมเมนท์ = กำลังใจ