อุ้มรักพ่อเลี้ยงเถื่อน บทที่ 1
“พราวกลับมาแล้วเหรอลูก?”
อิงกมลเอ่ยถามเมื่อพริบพราวลูกสาวคนเดียวของเธอซึ่งไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นจนกระทั่งจบปริญญาตรีและเพิ่งเดินทางกลับมาถึงบ้านก็วันนี้ พริบพราว หญิงสาววัย 22 ปีเจ้าของใบหน้างามหมดจดและผมยาวสลวยถูกมัดรวบเป็นหางม้าเผยผิวงามและเค้าโครงหน้าอันเปล่งปลั่งผุดผาด เธอก้าวเข้ามาพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ หญิงสาวลากมันเข้ามาไว้ในห้องรับแขกภายในบ้านอันโอ่อ่าซึ่งตั้งแต่เธอไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาเกือบ 5 ปีก็เพิ่งได้กลับบ้านมาในครั้งนี้เพราะตลอดเวลาที่อยู่ต่างประเทศพริบพราวก็ตั้งหน้าเรียนหนังสือเพื่อจะให้จบทางด้านการเกษตร มันเป็นสาขาวิชาที่เธอชอบเรียนมากที่สุด หญิงสาวร่างบอบบางเดินเข้ามาไหว้มารดาก่อนจะกอดอิงกมลและพูดว่า
“แม่คะ...หนูกลับมาแล้วนะ คุณพ่อล่ะคะ อยู่ที่ไหนคะเนี่ย?”
“พ่อเหรอ...เอ้อ...”
“มีอะไรเหรอคะ...แม่ทำไมแม่ทำหน้าแบบนี้ล่ะคะ นี่หนูเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นนะแม่ไม่ดีใจหรอกเหรอคะ?”
พริบพราวถามมารดาซึ่งตอนนี้อิงกมลมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักและมันทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจต่ออากัปกิริยาของผู้เป็นมารดาที่แสดงออกมา อิงกมลอยู่ในอาการกอึกอักก่อนตอบไปว่า
“พ่อ...เฮ้อ...พ่อเขา...” ยังไม่ทันทีอิงกมลจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน หลังจากนั้นสักครู่ก็มีชาย 2 คนก้าวเข้ามาเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ทั้งคู่รูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าถมึงทึง พริบพราวหันไปมองก็ต้องรู้สึกประหลาดใจและในเวลานั้นอิงกมลเองก็ถึงกับตัวสั่นและเข้าไปกอดลูกสาวเอาไว้แน่น
“สวัสดีครับคุณอิงกมล พวกเราเป็นคนของพ่อเลี้ยงราชินทร์ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณจักรภพอยู่หรือเปล่า?”
“เอ้อ...คุณจักรเขาไม่อยู่หรอกค่ะ” อิงกมลตอบด้วยเสียงสั่นโดยที่พริบพราวเองก็ไม่รู้ว่าในเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เธอเห็นสีหน้าและแววตาของผู้เป็นมารดาแสดงความเป็นกังวลและหวั่นกลัวออกมา สักครู่หนึ่งในชายทั้งสองก็กล่าวขึ้น
“แล้วตอนนี้คุณจักรภพเขาไปไหนล่ะครับ”
“เขาเดินทางไปต่างประเทศแล้วค่ะ”
“ว่ายังไงนะคะแม่!...พ่อไปต่างประเทศเหรอคะ ทำไมหนูไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะคะ” พริบพราวหันมาถามมารดาที่ตอนนี้กอดเอวเธอเอาไว้แน่นอิงกมลยังไม่ทันพูดอะไรก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มันเป็นเสียงโทรศัพท์ของหนึ่งในชายสองคนนั้น เขารับสายและนิ่งรับฟังอยู่เพียงชั่วอึดใจก่อนกดวางสายและหันมาพูดกับสองแม่ลูกว่า
“คุณราชินทร์โทรมาหาผมเมื่อครู่นี้ เขาบอกว่าเขารู้เรื่องแล้วที่คุณจักรภพหนีไปต่างประเทศ”
“หนีเหรอ! นี่มันเรื่องอะไรกันแล้วพวกคุณเป็นใคร แล้วคุณราชินทร์อะไรนั่นน่ะเป็นใครกัน ทำไมจะต้องส่งพวกคุณมาด้วยล่ะ” พริบพราวตั้งคำถามขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวแต่ยิ่งเธอพูดอะไรออกมาก็รู้สึกเหมือนกับว่าแม่ของเธอต่างหากที่ออกอาการหวาดกลัวจนตัวสั่นแต่แล้วก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณคือพริบพราว ลูกสาวของคุณจักรภพใช่ไหม?”
“ใช่...มีอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขออธิบายให้คุณเข้าใจตรงนี้ว่าคุณจักรภพ พ่อของคุณน่ะเป็นหนี้คุณราชินทร์ หรือพ่อเลี้ยงราชิน 10 ล้านบาทและตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้พวกเราก็พยายามมาทวงถามหนี้ที่พ่อของคุณกู้ยืมไปจากพ่อเลี้ยงแต่จนแล้วจนรอดคุณจักรภพพ่อของคุณก็ไม่สามารถหาเงินมาชดใช้ได้และเมื่อครู่นี้พ่อเลี้ยงก็โทรมาคุยกับผมบอกว่าเขาทราบเรื่องแล้วว่าคุณจักรภพหนีไปต่างประเทศ”
พริบพราวหน้าตื่น “ว่ายังไงนะ! พ่อเป็นหนี้พ่อเลี้ยงราชินทร์ตั้ง 10 ล้านเลยเหรอ ทำไมเงินมันมากมายถึงขนาดนี้ล่ะ แล้วทำไมเรื่องนี้ฉันไม่เคยรู้มาก่อน”
“พราว...แม่ต้องขอโทษลูกด้วยนะ เรื่องนี้น่ะแม่ก็รู้มาตลอดแต่ไม่อยากจะบอกให้ลูกได้รับรู้ว่าพ่อน่ะติดหนี้การพนันและไปกู้ยืมเงินของพ่อเลี้ยงเขามาจนถึงตอนนี้ก็ยังหาเงินไปชดใช้ไม่ได้ แม่ไม่อยากให้ลูกต้องทิ้งการเรียนกลับบ้านกลางคันก็เลยพยายามที่จะปกปิดเรื่องนี้ เราสองคนพยายามหาทางออกแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำได้ แม่ยอมรับว่าเราถึงทางตันจริง ๆ พ่อเขาก็เลยตัดสินใจหนีไปต่างประเทศ” อิงกมลแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาของหญิงวัยกลางคนหยดไหลลงมาและมันยิ่งทำให้พริบพราวนึกสะท้อนใจ เธอไม่นึกเลยว่าการกลับมาบ้านครั้งนี้จะต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิต หลังจากที่เธอดีใจมากที่สุดเมื่อจบการศึกษาเธอคิดว่าจะกลับมาช่วยงานบิดาที่เปิดโรงงานเกี่ยวกับการเกษตร หัวใจดวงนั้นแห้งหาย บอกไม่ถูกเลยในตอนนี้ว่าจะต้องทำยังไง เธอพยายามเข้มแข็งแต่ก็อดไม่ได้ที่น้ำตาจะไหลออกมา หญิงสาวหันไปทางชายฉกรรจ์ทั้งสองที่ยืนจ้องมองเธอและมารดา ลึก ๆ แล้วเธอก็รู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน นี่ถ้าผู้ชาย 2 คนนี้เกิดจะทำอะไรขึ้นมาแล้วเธอกับมารดาจะเป็นยังไง ในที่สุดพริบพราวต้องกลั้นใจถามออกไป