“แล้วพวกคุณจะเอายังไง ตอนนี้พ่อของฉันก็หนีไปต่างประเทศแล้ว อย่าบอกนะว่าพ่อเลี้ยงราชินทร์จะให้คุณ 2 คนมาเก็บพวกเราน่ะ”
“พ่อเลี้ยงไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอกแต่เขาบอกกับผมเมื่อครู่ว่าให้รับตัวคุณพริบพราวกลับไปหาพ่อเลี้ยงที่ปางไม้”
“ว่ายังไงนะ! พาฉันไปที่ปางไม้ของพ่อเลี้ยงอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ...เพราะพ่อของคุณน่ะตกลงกับพ่อเลี้ยงราชินทร์ บอกว่าจะให้คุณไปทำงานที่ปางไม้ของพ่อเลี้ยงเพื่อชดใช้หนี้สินทั้งหมด”
“ถ้าฉันไปแล้วแม่ฉันจะอยู่กับใครล่ะ”
“อันที่จริงแล้วหนี้สินที่คุณจักรภพต้องชดใช้ให้กับพ่อเลี้ยงมันหมายรวมถึงบ้านหลังนี้ด้วยที่คุณจักรภพเซ็นโอนให้กับพ่อเลี้ยงไปแล้ว แต่เขาขอร้องว่าอย่าเพิ่งทำอะไรกับบ้านหลังนี้ พ่อเลี้ยงก็ยังมีใจเมตตาที่จะให้แม่ของคุณอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกนะครับ”
“เมตตาอย่างนั้นเหรอ...ถ้าเขาเมตตาพวกเราก็ต้องให้ฉันอยู่กับแม่สิ”
บทที่ 2
“ที่ผ่านมาพ่อเลี้ยงก็ให้โอกาสกับพ่อคุณมามากแล้วนะครับผมคิดว่าสิ่งที่พ่อเลี้ยงทำน่ะทั้งคุณและแม่ของคุณควรจะสำนึกว่าพวกคุณได้รับโอกาสมามากแค่ไหนแล้วว เพราะไม่มีเจ้าหนี้ที่ไหนรอให้ลูกหนี้ชดใช้มาเป็นปี ๆ แล้วสุดท้ายลูกหนี้หนีไปอย่างนี้หรอกครับ”
“แล้วจะให้ฉันไปหาเขาเมื่อไหร่”
“เราจะรับคุณไปตอนนี้เลยครับ”
“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกคุณน่ะเป็นคนของพ่อเลี้ยงราชินทร์อะไรนั่นจริง ๆ”
“ถ้าคุณไม่เชื่อผมจะให้คุณคุยโทรศัพท์กับพ่อเลี้ยงตอนนี้เลยครับ” ว่าแล้วชายผู้นั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายก่อนยื่นมันให้กับพริบพราวที่รับเอาไปด้วยสีหน้าที่พยายามแสดงความเข้มแข็ง หญิงสาวผละห่างจากมารดาและรับโทรศัพท์มือถือของชายผู้นั้นมา เธอรอฟังสัญญาณจากปลายสายสักครู่ก่อนมีเสียงตอบรับกลับมาว่า
“เจตต์เหรอ...ว่ายังไง เรียบร้อยดีไหม?”
“นี่ฉันไม่ใช่เจตต์ คนของคุณหรอกนะคะคุณราชินทร์ ฉันคือพริบพราว เป็นลูกสาวของคุณจักรภพลูกหนี้ของคุณ”
“อ๋อ...พริบพราวอย่างนั้นเหรอ ว่ายังไงล่ะ...คุณมีอะไรอยากจะคุยกับผมอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันแค่อยากจะได้ยินเสียงของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าคนของคุณไม่ได้หลอกลวงฉันกับแม่เรื่องที่จะพาฉันไปที่ปางไม้ของคุณยังไงล่ะคะ”
“คนของผมน่ะไม่หลอกลวงพวกคุณแน่ ๆ แต่ที่รู้ ๆ ตอนนี้ก็คือพ่อของคุณน่ะทำผมได้เจ็บแสบมากเขาไม่คืนหนี้ให้ผม แถมยังหนีไปต่างประเทศอีก”
“ฉันรู้ว่าพ่อของฉันเป็นหนี้ แล้วทำไมคุณต้องให้ฉันไปอยู่ที่ปางไม้ของคุณด้วยล่ะ”
“นี่มันไม่ใช่ความคิดของผมนะ แต่มันเป็นข้อเสนอของพ่อคุณต่างหากที่จะให้คุณไปอยู่ที่ปางไม้และก็ทำงานชดใช้หนี้ให้ผม จะว่าไปแล้วมันก็ไม่คุ้มเลยสักนิด”
“แล้วถ้าฉันไม่ไปล่ะ”
“คุณเลือกจะไม่มาที่นี่ก็ได้นะ แต่แม่ของคุณต้องโดนตำรวจจับข้อหาร่วมมือกับพ่อของคุณโกงทรัพย์ผม และบ้านของคุณตอนนี้ก็เป็นของผมแล้วด้วย คุณมีทางเลือกอย่างเดียวเท่านั้นก็คือต้องมาอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นแล้วพรุ่งนี้ผมจะให้ตำรวจเข้าไปจัดการกับคนที่โกงเงินของผมไป!”
เสียงนั้นเด็ดขาดมาก มันเป็นน้ำเสียงทรงอำนาจและมีพลังทำให้พริบพราวถึงกับนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว ตอนนี้เธอมาถึงทางตันเสียแล้วไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากตอบกลับไปว่า
“ได้...ฉันจะไปกับคนของคุณแต่คุณต้องสัญญานะว่าจะไม่ทำอะไรแม่ฉัน”
“ผมรักษาสัญญาเสมอ แล้วเดี๋ยวเราจะได้เจอกัน”
พอเขาพูดจบก็ตัดสายทิ้งไปเสียดื้อ ๆ พริบพราวยื่นโทรศัพท์มือถือกลับไปให้คนของราชินทร์ เธอตีบตันจนพูดอะไรไม่ออกแต่หันกลับไปหามารดาเข้าไปสวมกอดและพูดว่า
“แม่...หนูจะต้องไปที่ป่าไม้ของพ่อเลี้ยงราชินทร์คืนนี้เลย ถ้ายังไงแม่อยู่บ้านดูแลรักษาตัวเองด้วยนะคะ”
“พราวลูกแม่ ดูแลตัวเองด้วยนะลูก แม่ขอโทษจริง ๆ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของพ่อและแม่ แม่อยากขอโทษลูกเหลือเกิน”
“เชิญคุณพริบพราวขึ้นรถครับ” เสียงที่ดังแทรกเข้ามาทำให้พริบพราวรู้แล้วว่าเธอมีเวลาอีกไม่มากนักที่จะได้กอดมารดา มันเป็นความทุกข์ใจอย่างที่สุด ทั้งที่คิดว่าจะกลับมาอยู่บ้านอยู่อย่างมีความสุขท่ามกลางครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมแต่ทุกอย่างต้องพังทลายโดยที่เธอได้แต่ยอมรับโชคชะตาที่มันถาโถมราวกับคลื่นอันโหดร้าย
เธอสวมกอดอิงกมลอีกครั้งและจำต้องติดตามชายทั้งสองไปขึ้นรถคันใหญ่ที่จอดหน้าบ้าน ตลอดระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงปางไม้อยู่ถึงจังหวัดเชียงใหม่ พริบพราวนั่งนิ่งเงียบไปตลอดทาง ลึก ๆ แล้วเธอกลัวตลอดเวลา จะให้เธอหลับลงได้ยังไงในเมื่อมากับชายแปลกหน้า 2 คนซึ่งทั้งสองคนนี้ก็เป็นคนของเจ้าหนี้บิดาที่ตอนนี้เธอก็ไม่รู้เลยว่าจะกระทบอยู่ที่ไหนและเป็นยังไงรู้เพียงว่าพ่อของเธอหนีไปอยู่ต่างประเทศแล้ว มันช่างเป็นสิ่งที่พลิกผันอย่างมากในชีวิตไม่คิดเลยว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับเธอได้ถึงขนาดนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ญี่ปุ่นพริบพราวไม่รู้เลยว่าครอบครัวมีปัญหาการเงิน นี่ถ้าหากว่าเธอรู้สักนิดก็จะรีบเดินทางกลับเผื่อว่าจะได้ช่วยเหลืออะไรครอบครัวบ้างเพราะเธอก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากมายในการส่งเธอไปเรียนถึงต่างประเทศ
หญิงสาวพยายามไม่หลับไปตลอดทางแต่แล้วด้วยความเหนื่อยล้าก็ค่อย ๆ หลับตาลง แต่ก็ต้องสะดุ้งทุกครั้งที่ชายทั้งสองหันมาก็ทำให้เธอหายใจไม่คล่อง เธอจินตนาการไปต่าง ๆ นานาว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เธออาจถูกคลุมหัวด้วยถุงดำ ทำให้ขาดอากาศหายใจ หรือไม่พวกเขาอาจจะหลอกเธอไปในกระท่อมกลางป่าที่ไหนสักแห่งแล้วฝังเธอทั้งเป็น แต่ละเรื่องที่คิดน่ากลัวทั้งนั้น หากแต่มันก็ไม่เกิดขึ้นเลยเพราะเธอผล็อยหลับไปจนแทบไม่รับรู้ใด ๆ เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสองต่อ กระทั่งได้ยินเสียงเรียก