บทที่ 5 : อดีตอันไม่น่าจดจำ

2179 Words
ภายในห้องโถงรับแขกกลางบ้านชายหนุ่มทั้งสองคนนั่งทำหน้าไม่ถูก โดยมาร์‍ชใช้มือแตะเบา ๆ สลับลูบหลังเล็กที่ยังคงขวัญเสียจนขณะนี้เริ่มสงบลงมาบ้างแล้ว ส่วนอาร์เจที่ตอนแรกจะกลับบ้านต้องเปลี่ยนแผนมานั่งขอโทษขอโพยให้กับพี่สาวเพื่อน ซึ่งเขาก็มีส่วนผิดที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ จนเธอเข้าใจผิด “ผมขอโทษจริง ๆ นะครับ” “...ค่ะ” “ขึ้นไปนอนมั้ยเจ๊มันไม่มีอะไรแล้ว” “อือ” “งั้นเดี๋ยวกูเดินไปส่งเจ๊แป๊บนึง มึงอย่าเพิ่งกลับนะ กูมีอะไรจะคุยด้วย” “เค” มาร์‍ชกำชับเพื่อนซึ่งอาร์เจก็พยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินขึ้นมาชั้นสองกับมัดหมี่ที่ตอนนี้แม้จะหายตกใจแล้วแต่ก็ยังมีท่าทางเซื่องซึมอยู่ และเมื่อเปิดประตูห้องไปเขาก็ถามมัดหมี่อีกครั้งด้วยความเป็นห่วง “นอนได้ป่ะเนี่ย” “อือ” ใบหน้าสวยพยักขึ้นลง แต่เมื่อน้องชายทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อก็ตอบไปอีกครั้ง “นอนได้” “รู้ใช่มั้ยว่ามันไม่ได้ตั้งใจ” “รู้” เธอพยักหน้าอีกครั้ง ความจริงแล้วหากเธอไม่ได้ฝันถึงเรื่องนั้นก่อนก็คงไม่ขวัญหนีดีฝ่อจนคิดอะไรน่ากลัวถึงขั้นนั้นหรอก อีกอย่างเธอก็ไม่ได้ฟังที่เขาพูดจริง ๆ แถมยังไปทำร้ายร่างกายเขาอีกต่างหาก “เจ๊ถีบเขา ฝากขอโทษเขาด้วยนะ” “ไม่ต้องไปเป็นห่วงคนอื่นหรอก ห่วงตัวเองเถอะ ที่ร้องไห้ขนาดนี้เกี่ยวกับเรื่องนั้นมั้ย” “อืม...จู่ ๆ ก็ฝันขึ้นมาเมื่อคืน” “มันผ่านมานานแล้วเจ๊ ไม่ต้องกลัวอะไรเค้าอยู่ด้วยทั้งคน” มาร์‍ชตอบพี่สาวด้วยความหนักแน่น ถึงจะพูดราวกับให้เธอทิ้งอดีตไปให้หมดแล้วเชื่อใจเขา แต่ความจริงแล้วก็รู้ว่าพูดน่ะมันง่ายแต่ให้ทำมันก็ยาก และไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเมื่อกี้คนที่อยู่ตรงนั้นกับมัดหมี่ไม่ใช่อาร์เจ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยังไง... “พี่มึงเป็นยังไงบ้างวะ” “ก็ซึม ๆ อะแหละ แต่เดี๋ยวก็โอเค อ้อ ! เจ๊ฝากมาขอโทษที่ถีบมึงด้วย” มาร์‍ชตอบคำถามเมื่อเขาเดินลงมาด้านล่างอาร์เจก็ถามด้วยความเป็นห่วง “มึงเข้าใจเจ๊กูหน่อยนะ” “เออ กูเข้าใจ เป็นผู้หญิงจะกลัวก็ไม่แปลกหรอก” อาร์เจพยักหน้าอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่พอเห็นสีหน้าเพื่อนดูไม่ดีขึ้น ท่าทางอึดอัดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “มึงนั่นแหละเป็นอะไร หน้ามึงแย่กว่าพี่เขาอีก” “กูเป็นห่วงเจ๊ว่ะ ตอนแรกกูคิดว่าเขาเจ๊จะลืมเรื่องเมื่อก่อนไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เลย” “หมายถึงเรื่องอะไร อะไรคือเมื่อก่อน” “เรื่องนี้มึงก็รู้...” คงเพราะว่ามันผ่านมาเป็นปีแล้วอาร์เจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงจึงลืมไป “มึงจำได้ไหม เรื่องไอ้กาย” บอกเล่าด้วยประโยคคำถามก็สะกิดเหตุการณ์บางอย่างให้ผุดขึ้นมาในความทรงจำราง ๆ ว่าเมื่อปีที่แล้วเหมือนพี่น้องคู่นี้จะปีชงหรือไม่ก็ดวงตกทั้งคู่...มันคือสถานการณ์อันเลวร้ายที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งต้องเผชิญ มาร์‍ชเคยเล่าว่า... กาย แฟนเก่ามัดหมี่ หรืออีกอย่างก็คืออดีตเพื่อนในคณะที่หากนับช่วงเวลานั้นทั้งคู่คบกันได้ครึ่งปี ถึงแม้ว่ามัดหมี่กับมาร์‍ชจะเป็นพี่น้องกันก็จริง แต่ก็ไม่ได้ก้าวก่ายชีวิตกันและกันขนาดนั้น ได้แต่เฝ้ามองและเป็นห่วงกันอยู่ห่าง ๆ พอเริ่มโตเข้ามัธยมฯ ปลายดูแลตัวเองกันได้พ่อแม่ก็ย้ายไปดูแลธุรกิจบ้านเกิดผู้เป็นพ่อที่ต่างประเทศทั้งคู่ เพื่อความสะดวกมัดหมี่จึงย้ายไปอยู่คอนโดใกล้โรงเรียนหญิงล้วนที่ตัวเองศึกษาอยู่ มาร์‍ชเองก็เข้าโรงเรียนชายล้วนชื่อดังแต่เพราะมีนิสัยติดบ้านและชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์จึงไม่ได้มีปัญหาเรื่องระยะทาง เรื่องราวชีวิตของกันและกันก็แค่รู้แบบผิวเผินไม่ได้เจาะลึกส่วนมากเน้นใช้ชีวิตใครชีวิตมัน จนถึงเหตุการณ์ที่ทำให้มาร์‍ชรู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่ละเลยพี่สาวทั้งที่มีกันอยู่แค่สองคน เริ่มตระหนักได้ว่าควรจะช่วยใส่ใจ ปกป้องและดูแลเธอให้ดีกว่านี้ ในวันที่โดนรถเกี่ยวจนไถลไปกับถนนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เวลามีปัญหาก็ต้องคิดถึงพี่น้องก่อนเป็นอันดับแรก แต่โทรหาเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับสาย...จึงเรียกเพื่อนมาช่วยและกลับบ้านในวันถัดมา แต่ดันมาเจอเรื่องที่ทำเอาใจแทบสลายเจ็บยิ่งกว่าแขนที่หัก หัวที่แตก เมื่อพี่สาวเพียงคนเดียวโดนวางยาแถมสภาพเนื้อตัวของเธอก็ทำให้รู้ได้โดยที่ไม่ต้องถามอะไรต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในวันถัดมาจากคืนนั้นเพราะมีธุระแต่เช้าอาร์เจจึงมาคณะเร็วกว่าเพื่อน แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อปกติไอ้คนที่มาเรียนแบบเส้นยาแดงผ่าแปดตลอดถึงได้มาเร็ว เนื้อตัวแทบดูไม่ได้เพราะไปนอนวัดถนนมาเมื่อคืนจนเขาต้องไปช่วย บัดนี้สีหน้าโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินเข้ามาแล้วเกี่ยวคอเขาให้ลุกจากเก้าอี้ ‘ไอ้ตี๋โดดเช้ากัน ไปตึกโยธากับกู’ ‘ฮะ ไปทำไมวะ’ ‘ฆ่าคน’ ‘พูดเป็นตลก หน้ากูเล่นมั้ย ยิ่งหงุดหงิดอยู่” ‘ไม่มีเรื่องเหี้ยอะไรหนักไปกว่าเรื่องกูแล้ว ถ้าวันนี้กูไม่ได้เอาเลือดหัวไอ้กายออก กูต้องระเบิดตายแน่’ ‘จะอะไรกูก็ไม่ว่าหรอก แต่มึงช่วยดูสภาพตัวเองหน่อยได้ไหม เนี่ย แขนหัก หัวแตก จากที่จะไปเอาเลือดหัวมันออกกูว่ามึงนั่นแหละจะไปให้พวกโยธากระทืบจนขาที่เดินปกติจะได้เดี้ยงเพิ่ม’ ‘กูถึงเอามึงไปด้วยไง ไปเป็นแขนเป็นขาให้กูที’ ‘…’ ใครจะคิดจะฝันว่าจะร่างสูงโปร่งของเด็กเครื่องกลสองคนจะเดินตัวเปล่าอาจหาญเข้าไปใต้ตึกโยธา ด้านข้างจะมีพื้นที่เป็นซอกไร้คนพลุกพล่าน มีโต๊ะไม้วางไว้ทอดอารมณ์มั่วสุม สูบบุหรี่และนั่งเล่นของนิสิตกลุ่มหนึ่ง มาร์‍ชเดินอาด ๆ นัยน์ตากลอกมองด้านบนพบว่าไม่มีกล้องวงจรปิดก็ตรงเข้าไปหาเป้าหมายซึ่งนั่งหันหลังทิ้งตัวอยู่บนโต๊ะเด่นเป็นจุดสนใจท่ามกลางเพื่อนอีกสามคนโดยไม่ต้องเสียเวลาค้นหา ปึ่ง ! ผลั่ก ! แม้เป็นเด็กต่างภาคแต่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวเจ้าถิ่นใด ๆ ร่างกำยำของมาร์‍ชก้าวขาขึ้นไปยืนบนเก้าอี้แล้วถีบคนที่ไม่ทันได้รับรู้ถึงภัยเงียบด้านหลัง ส่งผลให้ถูกยันเต็มแรงหน้าคะมำลงไปอยู่บนพื้นจนกลุ่มก้อนที่นั่งกันสบายใจเฉิบเมื่อครู่แตกฮือ ‘อั่ก !’ ‘ไอ้เหี้ยใครวะ’ ‘เฮ้ย...มึงซ่านักเหรอ’ ผลั่ก ! เมื่อเห็นเพื่อนลงนอนแอ่งแม้งอยู่ที่พื้น พอเริ่มตั้งตัวกันติดกำลังเดินเข้ามาหาคนที่ยังไม่สมประกอบแต่ห้าวไปถีบเพื่อนพวกเขาจนหน้าทิ่ม อาร์เจก็ผลักอกพวกมันออกห่างด้วยใบหน้านิ่ง ๆ ‘เฮ่ย...มึงนั่นแหละหลบ ไม่ใช่เรื่องของมึงอย่าเสนอหน้า’ ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องของเขาเหมือนกัน แต่ในเมื่อเพื่อนรักบอกว่าให้ช่วยเป็นแขนเป็นขาให้ก็เท่ากับเป็นเรื่องของเขากึ่งหนึ่ง ‘แล้วนี่เรื่องอะไรวะไอ้มาร์‍ช จู่ ๆ มึงก็มาถีบเพื่อนกูเนี่ย’ ‘มึงก็ถามเพื่อนมึงดู ! ว่าทำห่าอะไรไว้’ ‘กูไปทำอะไรให้มึงไอ้มาร์‍ช ! ไม่เคยคุยกันซักคำเลยมั้ง’ กายที่ทั้งจุกทั้งเจ็บเพราะตกลงมาจากที่สูงค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นมาก่อนเค้นเสียงถามอย่างไม่เข้าใจ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรู้จักชื่อมาร์‍ช เพราะส่วนมากนิสิตมหาวิทยาลัยดังก็มักจะมาจากนักเรียนโรงเรียนมัธยมฯ ขึ้นชื่อ ซึ่งกระจายตัวกันอยู่ในทุกที่ บางคนพอจะเห็นหน้าค่าตากันบ้าง หากจะรู้ชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คนที่ไม่ควรมีปัญหาด้วยมีอยู่ไม่กี่ประเภท เช่นพวกนามสกุลดัง พวกตระกูลคนใหญ่คนโต แต่พวกที่น่ากลัวกว่าใครคือพวกที่ไม่มีสิ่งนั้นก็เลยไม่รู้จักเกรงกลัวอะไร มาร์‍ชคืออย่างหลัง เพราะไม่มีภาพลักษณ์ นามสกุลดังคับประเทศ หรือต้นตระกูลเก่าแก่ที่นี่ให้ต้องรักษา ถ้ามีเรื่องขอแค่ได้ต่อยอีกฝ่ายจนคว่ำถึงโดนจับก็ไม่สน คล้ายอันธพาลแต่ดีกว่านิดนึงตรงที่มีปัญญาจ่ายค่าปรับตำรวจไม่อั้น ‘เหรอ ?’ ‘...’ ‘แล้วมัดหมี่ล่ะ มึงพอจะคุ้น ๆ บ้างไหม’ ‘...’ ‘ทำพี่กูไม่เท่ากับทำกูเหรอ ?’ ‘พี่หมี่เป็นพี่มึงเหรอ’ ‘ทำไม ? เพราะไม่รู้เลยกล้าทำรึไง ถามจริง...มึงกระจอกขนาดนั้นเลยเหรอวะ ถึงขั้นต้องใช้ยากับพี่กูน่ะ’ ‘...’ แม้ไม่ได้รับคำตอบออกจากปากคู่กรณีแต่การที่มันหน้าซีดเป็นไก่ต้มก็เหมือนจะเป็นคำสารภาพจนหมดเปลือกแล้ว มาร์‍ชเค้นหัวเราะเล็กน้อยให้ความรู้สึกน่าขนลุกก่อนจะประกาศลั่นเสียงดังให้คนที่เหลืออีกสามคนฟัง ‘กูจะกระทืบไอ้เหี้ยนี่ ! มีใครอยากจะช่วยมันมั้ย’ ‘...’ ‘ไม่มีเลยเหรอ เฮ้ย ! อะไรเนี่ย ? เพื่อนมึงทั้งคนเลยนะ โหย...ไอ้เหี้ยกาย...เพื่อนรักมึงสุด ๆ ไปเลย น้ำตาจะไหลแน่ะ กูให้โอกาสขอร้องเพื่อนให้ช่วยก็ได้’ มาร์‍ชพูดอย่างใจดีก่อนหัวเราะเหมือนกับโรคจิตใส่คนที่โดนต้อนจนหลังชิดติดกำแพงตึก ก้มหน้าไม่แม้จะกล้าสบตาด้วยซ้ำ ‘เอ๊าเร็ว ! ไม่งั้นจะตายเอานะ เพราะหลังจากนี้ถ้ากูยังเห็นมึงป่วนเปี้ยนอยู่ที่คณะ กูก็จะซัดมึงเมื่อนั้นแหละ ไม่หาเพื่อนไว้ช่วยซักคนก็แย่น่ะสิ’ ‘ไอ้เหี้ยมาร์‍ช...’ ดวงตาคมของคนกำลังโดนขู่โต่ง ๆ เริ่มตื่นตระหนก ‘มันเกินไปแล้วนะเว้ย...’ ผลั่วะ ปึ่ง !! ‘อึ่ก’ ‘มึงไม่รับโอกาสไว้เองนะ’ มาร์‍ชใช้มืออีกข้างที่ไม่เจ็บกระชากคอเสื้อให้ถลาตามแรงออกมาก่อนถีบอีกฝ่ายจนกระเด็นไปติดผนังอีกรอบ แล้วเดินเข้าไปหาอย่างช้า ๆ เหมือนใจเย็นแต่แววตาอันตรายบ่งบอกว่าไม่ใช่ ‘กูให้มึงขอร้องให้เพื่อนช่วย ! ไม่ใช่ให้ปากจังไรของมึงมาเรียกชื่อกู’ ‘มึงจะเอาอะไรจากกูวะไอ้สัตว์ พี่หมี่เป็นเมียกู ! กูจะทำอะไรก็เรื่องของกู’ ‘งั้นกูเกลียดขี้หน้ามึง จะกระทืบมึง…ก็คงจะเป็นเรื่องของกู’ สิ้นเสียงนั้นก็เหมือนเป็นระฆังชี้ชะตา มาร์‍ชถอดผ้าคล้องแขนมือขวาที่ใส่เผือกของตัวเองแล้วซัดเข้าให้อย่างลืมความเจ็บปวด ยกเท้าแข็งแรงกระทืบใส่อีกฝ่ายไม่ยั้งจนนอนขดตัวงอเป็นกุ้งคลุกฝุ่นอยู่ที่พื้น ‘...’ วิ้ดวิ้วว~ เสียงเป่าปากพลางยักคิ้วกวนประสาทของอาร์เจดึงสติเจ้าถิ่นอีกสามตัวที่ยืนนิ่งแข็งเป็นหินให้หันมาสนใจเขาที่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้แทนที่เพื่อนของพวกมันที่โดนคนเจ็บกระทืบอยู่ เผชิญหน้าด้วยแววตาคมกริบคุมเชิง ทั้งสามคนลอบมองหน้ากันจนสุดท้ายก็ตัดสินใจหันหลังและทิ้งเพื่อนไปคล้ายกำลังจะบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวและไม่อยากโดนหางเลขไปด้วยหากเรื่องนี้ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลจากที่เพื่อนไปวางยาผู้หญิง ถ้ามีแค่มาร์‍ชที่กำลังเจ็บมาคนเดียวพวกเขาก็อาจจะยื่นมือเข้าไปช่วย แต่คนที่หน้าดุ เงียบ ดูสุขุมกว่า ถึงจะไม่ได้โผงผางเท่ามาร์‍ชแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าจะรับมือกับอาร์เจได้ง่าย ๆ มาด้วยแบบนี้… ก็ทางใครทางมันแล้วกัน... ‘อะไรของมันวะ ? คนเยอะกว่าตั้งเท่าหนึ่งไม่มีน้ำใจจะช่วยเลย อย่างน้อยก็แกล้ง ๆ เข้าไปห้ามหน่อยก็ไม่ได้’ ใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจอย่างน่าผิดหวังขณะที่มองตามแผ่นหลังทั้งสามคนเดินเลี่ยงออกไปจากซอกราวกับบอกว่า ไม่อยากรู้อยากเห็นด้วย จนต้องพูดเสียงนิ่งอย่างรู้สึกเวทนาไปให้คนที่ยังคงโดนกระทืบไม่มีพักจนเริ่มร้องไม่ออก ‘ไอ้กาย...ถ้ากูเป็นมึงนี่กูอยากตายเลยว่ะ’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD