มัดหมี่
“โอ๊ย...อีจูนถามจริงนะแต่งตัวแบบนี้นี่ประกาศออกเสียงตามสายเลยมั้ยว่าเป็นเด็กเสี่ย”
เนย ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะเอ่ยปากแซวเพื่อนอย่าง จูน เมื่อเห็นร่างบางอ้อนแอ้นกระโปรงทรงเอสั้นกุดผ่าหน้าเดินลงจากรถยุโรปหรูหรายี่ห้อดังราคาไม่ต้องพูดถึง แถมตั้งแต่หัวจรดเท้านี่แทบจะเป็นแบรนด์เนมทั้งตัว
ปึก !
“แกอย่ามาพูดถึงไอ้เสี่ยบ้านั่นนะ !”
กระแทกร่างตัวเองนั่งเก้าอี้ระหว่างเพื่อนทั้งสองจูนก็แหวเสียงติดหงุดหงิดไปให้เนยที่แซวไม่รู้จักเวล่ำเวลาถึงไอ้คนเฮงซวยที่แค่คิดถึงก็รู้สึกโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
“เอ๊าวีนไรเจ๊”
“ไม่ให้วีนยังไงไหววะ เมื่อคืนฉันจับได้ว่าไอ้เสี่ยปอนด์มันแอบไปเลี้ยงเด็กเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้ว ! เห็นทีว่ามันกำลังจะเขี่ยฉันทิ้งเร็ว ๆ นี้แน่”
“โธ่...นึกว่าเรื่องอะไร แกก็ได้เยอะแล้วป่ะแบ่ง ๆ ให้คนอื่นบ้างสิ รีบ ๆ ไถเงินแล้วชิ่งไปหาเสี่ยหนุ่ม ๆ ไม่ดีกว่าเหรอ”
“ก็เสี่ยหนุ่มมันเงินน้อยนี่หว่า...” จูนหน้ามุ่ยพลางถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อปรายตาไปหาเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยแต่เงียบผิดปกติ แถมตาลอยไปไกลก็ย่นคิ้วงงแล้วตะโกนเรียก “อีหมี่ !”
“เอ้ย !” มัดหมี่ที่กำลังคิดอะไรบางอย่างในหัวตกใจสะดุ้งสุดตัวจนหลุดคำอุทาน พอเห็นร่างเพื่อนที่กำลังจ้องหน้าอยู่ก็เอ่ยปากถาม “อ้าว...แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“มาตั้งนานแล้วย่ะ ต้องถามแกมากกว่าว่าใจลอยไปไหน คนสวยมานั่งข้าง ๆ ขนาดนี้แกยังไม่รู้ตัวอีก”
“ก็คิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ แล้วมีอะไรหน้าเหมือนคนท้องผูกเลย”
“เขาพูดจบไปนานแล้วว่าอีจูนมันกำลังจะโดนผัวแก่ทิ้ง” เนยตอบคำถามแทนคนที่กำลังเจ็บใจ
“หา ?” มัดหมี่ได้ฟังถึงกับร้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ...ไม่อยากจะเชื่อว่าจะยังไม่โดนเขาทิ้งจนถึงป่านนี้ “หาใหม่”
“อีนี่พูดง่ายอีกคน เดี๋ยวนี้เด็กเสี่ยมันผุดออกมาเยอะยิ่งกว่าดอกเห็ดอีกนะ การแข่งขันสูงสุดๆ” จูนหน้านิ่วคิ้วขมวดเล่าให้ฟังอย่างออกรสออกชาติ “เจ็บใจตรงที่เห็นหน้าอ่อน ๆ นึกว่าลูกที่ไหนได้...แม่ง พูดแล้วขึ้นว่ะ”
“ไหนวะ ?”
“…”
สิ่งที่เพื่อนเล่าเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของมัดหมี่ไป เรื่องแบบนี้เธอก็เข้าไม่ถึงเท่าไหร่จึงฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แม้เป็นเพื่อนกันก็จริงแต่มีพื้นที่ให้กันพอสมควรและทุกคนมีสิทธิ์เลือกใช้ชีวิตในแบบของตัวเองถ้ามันไม่ได้เดือดร้อนใคร เพราะอย่างน้อยเสี่ยที่จูนไปอยู่ด้วยเขาก็ไม่ได้มีครอบครัว
อีกอย่างในสมองของเธอตอนนี้ไม่ได้มีที่ว่างจะสนใจอะไรมากมาย มีเพียงภาพใครคนหนึ่งวิ่งวนอยู่ข้างในนั้น แต่เขาคนนั้นดันเป็นผู้ชายที่เธอเข้าใจผิดแถมต้อนรับเขาอย่าน่าประทับใจและคาดว่าอีกฝ่ายคงจำได้ไม่รู้ลืม กล่าวหาเขาว่าเป็นโจรไม่พอแถมยังถีบเขาเสียเต็มแรง ทั้งที่ขอโทษเขาไปแล้ว และดูเหมือนว่าเขาเองก็คงไม่ได้ติดใจอะไรเธอ ก็ไม่รู้ทำไมถึงเอาแต่คิดถึงหน้าเขาไม่ยอมหยุด
ต่อให้คิดเองจนหัวแทบจะระเบิดก็ไม่ได้คำตอบ ทางที่ดีหาตัวช่วยคงจะดีกว่า…
“นี่…เนย จูน”
“ฮะ ?”
“อะไร ?”
เพื่อนทั้งสองที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับจอโทรศัพท์ในมือของจูนเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก มัดหมี่ทำหน้ากระอักกระอ่วนและชั่งใจเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็เอ่ยปากถาม
“ถ้าเรารู้สึกแปลก ๆ เวลาเจอหน้าใครซักคนมันแปลว่าอะไรเหรอ ?”
“ไปเจอใครมาฮะ ?” จูนหรี่ตาเฉี่ยวของตัวเองลงจับผิด “แปลกที่ว่าแปลกยังไงล่ะ อึดอัด กลัว หรือรู้สึกสนใจ ?”
“อืมมม” ดวงตากลมโตกลอกมองบนแล้วคิดตามที่เพื่อนถาม ก่อนที่จะสรุปความรู้สึกที่เกิดขึ้น ถึงตอนนั้นจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากนัก แต่สายตาเธอก็จับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา “ตอนแรกกลัว แต่หลัง ๆ ดูเหมือนจะสนใจ”
“ก็นั่นไงคำตอบ แกสนใจเขา” เนยยักไหล่แล้วตอบกลับง่าย ๆ
“จะอะไรก็ไม่ว่าหรอก แต่แกมีใครแอบอุ๊บอิ๊บไว้ไม่บอกเพื่อนเหรอ ?”
“ไม่ใช่อย่างงั้นสิ”
“แล้วมันยังไงล่ะ”
ดูเหมือนการที่มัดหมี่อมพะนำพูดครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะทำให้เพื่อนรู้สึกหงุดหงิด จนสุดท้ายเธอก็ถอนหายใจยอมบอก
“เขาเป็นเพื่อนน้องชายฉัน แต่ก็บอกไม่ถูก…ทั้งที่น่าจะพึ่งเจอกัน แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกันแปลก ๆ”
“แล้วไปเจอกันได้ไงก่อน”
“เมื่อคืนก่อนฉันไปเลี้ยงส่งพี่ทับทิมมา เลยให้น้องมารับ สงสัยมันขอติดรถเขามารับมั้ง ฉันจำไม่ได้อ่ะโคตรเมา”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้เมาแล้วเผลอไปทำอะไรแปลก ๆ กับเขา แกก็น่าจะรู้ว่าเวลาแกเมาแล้วน่าสยองแค่ไหน”
“…”
ทำอะไรแปลก ๆ งั้นเหรอ ?
คำถามของเพื่อนเล่นเอามัดหมี่ถึงกับนิ่งงันแล้วรู้สึกเอะใจกับเคล้าลางสังหรณ์บางอย่าง เพราะเวลาเมาทีไรไม่เคยจะมีเรื่องดีเลยไงล่ะ
เห็นมัดหมี่นิ่งเงียบไปนานก็เป็นเนยที่ชูนิ้วชี้มาตรงหน้า ก่อนจะถามน้ำเสียงจริงจัง
“มีคำถาม”
“อะไร”
“หล่อไหม ?”
“…” กะพริบตาสองสามที ไม่เสียเวลาคิดนานใบหน้าสวยก็ขยับขึ้นลงรัว ๆ “หล่อโคตร”
“จบ ! แกชอบเขา คิดอะไรเยอะแยะ” เนยดีดนิ้ว ป็อก ! ฟันธงด้วยความมั่นใจ
“บ้าเหรอ”
“อย่ามาแอ๊บอีหมี่ ! ถ้าไม่ชอบแกคงไม่สติเตลิดไปหาเขาขนาดนี้ ฉันล่ะอยากเอากระจกมาให้แกส่องหน้าตัวเองตอนที่ตาลอยไปไกลจริง ๆ”
เนยส่ายหน้าขำเพื่อนสาวที่มองค้อนกลับมาหา ทั้ง ๆ ที่เธอนั้นไม่ได้พูดเกินจริงซักนิด มีแต่มัดหมี่เองนั่นแหละที่ยอมรับความจริงไม่ได้ว่าโคตรจะเป็นหนักกับผู้ชายปริศนาที่กำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้
มัดหมี่ไม่แน่ใจ รู้เพียงแค่ว่าทั้งส่วนสูง รูปร่าง และหน้าตาของอีกฝ่ายที่ปรากฏอยู่เบื่องหน้าทำเอาพูดไม่ออก หากมีการจัดลำดับ สเปคที่เธอนั้นชื่นชอบพูดได้อย่างไม่อายปากว่าไม่เคยเจอใครที่ดูดี และลงตัวเทียบเท่ากับภาพในอุดมคติของเธอขนาดนี้มาก่อน ขนาดที่สถานการณ์เมื่อคืนก่อนจะแทบทำให้เธอเสียสติ ขวัญหนีดีฝ่อแค่ไหนเธอก็ยังจดจำเขาได้แม้กระทั่งกลิ่นที่ติดอยู่ที่ปลายจมูก ชัดเกินไปจนน่าประหลาดใจ...
ดูเธอสิ เป็นบ้าเป็นหลังถึงขนาดนั้น
“ฉันก็นึกว่าคิดเรื่องอะไรอยู่ ที่ไหนได้…คิดถึงผู้ชาย เลิศไม่ไหว”
เจ้าของเรื่องถึงกับถอนหายใจ เธอไม่รู้หรอกว่าที่เพื่อนพูดน่ะมันถูกหรือผิด แต่สิ่งที่เป็นประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น เพราะมันมีบางสิ่งที่ทำให้เธอเซ็งแสนเซ็ง
“แต่เขาเป็นเพื่อนไอ้มาร์ชนะ”
“แล้วเพื่อนของน้องมันมีปัญหาอะไรไม่ทราบ”
“เพื่อนไอ้มาร์ชก็ต้องเป็นเกียร์ 74 น่ะสิ แกก็รู้ว่าฉันเข็ดขยาดกับคณะนี้แค่ไหน นี่ฉันยังขนลุกไม่หายเลยตอนที่มันยกพวกไปกระทืบจนเขาต้องหนีลาออก”
“เอ๊าถูกแล้ว ! ก็นั่นมันวางยาแก ไม่เอาเข้าไปนอนคุกก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ที่ผ่านมาไม่คิดเลยว่าน้องชายที่หาสาระไม่เจอ ทำตัวเหลวไหลไปวัน ๆ เวลาเลือดขึ้นหน้าตอนเห็นคนอื่นมาทำร้ายพี่สาวให้ต้องเจ็บปวดจะกลายเป็นคนที่น่ากลัวขนาดนั้น กระทั่งปีที่แล้วที่เรื่องนี้เกิดขึ้น
ดังนั้นที่ผ่านมาก็เลยไม่อยากจะยุ่งกับเด็กคณะนี้อีกเพราะใกล้ตัวน้องชายเกินไป กลัวว่ามาร์ชจะกร่างสร้างศัตรูไปทั่วจนเป็นตัวเองที่อยู่ไม่ได้
“มันก็ใช่แหละ แต่ก็แบบ…เฮ้อ จะว่ายังไงดี” มัดหมี่ทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ปกติถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเลี่ยงไปเลย”
“อยากเลี่ยงก็เลี่ยงสิ”
“เหรอ”
ว่าแล้วมัดหมี่ก็ถอนหายใจอีกครั้งเฮือกใหญ่ ที่ผ่านมาเวลาติดอะไรตรงไหนเธอแทบจะเลิกสนใจได้ง่าย ๆ แต่นี่ ไม่ว่ารูปร่างหรือหน้าตา ดันติ๊กถูกทุกข้อเลย แบบนี้ให้ทำไงล่ะ...มันเป็นความผิดของเขานี่นา การที่เธอจะรู้สึกสนใจในสิ่งที่น่าสนใจมองยังไงก็ไม่ใช่ความผิดของเธอเลยซักนิดไม่ใช่เหรอ ?
“จากที่ฟังก็คือชอบเขาแหละเอาง่าย ๆ แต่ดันติดที่ว่าเขาเป็นเด็กคณะที่แกมีปมฝังใจด้วยก็เลยว้าวุ่น”
“แหม…พูดเหมือนเอคซ์เพิร์ทเรื่องความรักเลยนะ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีผัวแท้ ๆ”
“ตบปากแตก !” เนยง้างมือเตรียมทำอย่างที่ว่า จนจูนที่กรุ้มกริ่มพูดแหย่เล่นเมื่อครู่โยกหัวหลบแล้วหัวเราะคิกคัก
“ล้อเล่นน่า”
“ก็นั่นแหละหมี่ ไม่รู้ว่าแกจะรู้สึกตัวมั้ย แต่ฉันว่าบางทีแกอาจจะมีชะตาต้องกับเด็กรุ่นนี้ก็ได้นะ ถึงแกจะแอนตี้ก็เถอะ”
“อันนี้ฉันก็เห็นด้วยนะ ไม่ว่ากี่คนผู้ชายที่วนเวียนอยู่ในชีวิตแกจะเป็นเด็กเกียร์นี้ทุกคนเลยป่ะ ไม่เรียกว่าพรหมลิขิตก็เรียกว่าเวรกรรมแล้วล่ะวะ”
ไม่ว่าสิ่งที่เนยหรือจูนพูดก็ล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้เลยซักอย่าง...
นั่นสินะ…เวรกรรมอะไรกันเนี่ย แผลทั้งตัวและหัวใจเกิดขึ้นเพราะรุ่นนี้ทั้งหมดเลย ขนาดคนที่ทำให้เธอกลับมารู้สึกสนใจขนาดนี้ได้อีกครั้งก็ยังไม่พ้นอีก มีอาถรรพ์รึไงกันนะ