บทที่ 7 : เกียร์ 74 ชื่อนี้รับประกันความแซ่บ

2253 Words
“ช่วงนี้ทำไมเจ๊อยู่บ้านบ่อยจังอ่ะ” มัดหมี่ที่กำลังเตรียมเมนูกันตายง่าย ๆ อยู่ชะโงกหน้าออกมาจากครัวหลังจากได้ยินเสียงคำถามของน้องชายที่เพิ่งจะเดินลงบันไดมาแถมก้มหน้าก้มตาพิมพ์บางอย่างในโทรศัพท์พร้อมกับชุดไปรเวทที่เหมือนอยู่บ้าน ถ้าไม่มีเสื้อช็อปสีแดงเลือดหมูพาดบ่าก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีเรียนเช้าด้วย “ยังหาคอนโดที่ถูกใจไม่ได้” เพราะมัดหมี่เป็นประเภทที่ไม่ชอบอยู่บ้านดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่น้องชายจะสงสัย ตั้งแต่มัธยมฯ ปลายก็เลือกอยู่คอนโดมาตลอดเพราะไปไหนมาไหนสะดวกสบายและรวดเร็วกว่ามาก ต่างจากบ้านที่อยู่ไกลจากกลางเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยพอสมควร “ย้ายอีกละเหรอ ปีที่แล้วก็ย้าย ไหนว่าเจอคอนโดที่ถูกใจแล้วไงทำไมย้ายอีกล่ะ” มาร์‍ชทิ้งตัวลงนอนราบไปกับโซฟาแล้วกลอกตานึกถึงคำพูดของพี่สาวเมื่อนานมาแล้ว ครั้งแรกที่ย้ายเพราะคอนโดซึ่งเคยอยู่ใกล้โรงเรียนพอขึ้นปี 1 เธอจึงย้ายไปอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยแทน แต่ก็อยู่แค่หนึ่งปีก็ย้ายไปที่ใหม่ และนี่ก็มาบอกว่าจะย้ายอีกแล้ว “ข้างห้องเขามีลูกเล็กย้ายเข้ามา กลางคืนร้องดังลั่นแทบไม่ได้นอนเลย อีกอย่างเจ๊ปีสุดท้ายแล้วมีเรียนน้อยคงต้องดูก่อนว่าจะฝึกงานตรงไหนค่อยตัดสินใจเลือกอีกที” “โคตรแก่เลยอ่ะ” “แหมแกห่างกับฉันปีเดียว แก่เหมือนกันนั่นแหละย่ะ !” มัดหมี่ถอนหายใจพร้อมเบ้หน้าเมื่อถูกกวนประสาทตั้งแต่เช้า อยู่ดีไม่ว่าดี จู่ ๆ ก็หาเรื่องโดนด่าซ่ะงั้น เมื่อเงยหน้าดูนาฬิกาบนเพดานก็พบว่าเป็นเวลาแปดโมงกว่าแล้วแต่น้องชายยังนอนเอกเขนกอยู่อีก “สรุปแกไม่มีเรียนเหรอแล้วรีบแต่งตัวทำไม” “มีเรียนเช้า” “มีเช้าแล้วไม่รีบไปเรียนเล่า ! มานอนเล่นโทรศัพท์อยู่ได้” พูดหน้าตาเฉยแต่ตัวไม่ยอมขยับ เหลวไหลสุด ๆ แบบนี้จะไม่ให้บ่นได้ยังไง “เดี๋ยวก็ตั้งหน้าตั้งตาบิดให้รถเฉี่ยวตกถนนกลิ้งเป็นลูกขนุนอีก รอบนี้ได้ตายจริงแน่” “ไม่ตกหรอกน่า วันนี้เพื่อนเค้ามารับหรอก” มัดหมี่ชะงักมือที่กำลังแกะถุงขนมปัง แล้วกลอกตาล่อกแล่กหูดีดผึ่งอย่างรู้สึกสนใจ “ใคร? คนนั้นน่ะเหรอ” “อื้อ” “ชื่ออะไรนะ ทำไมเจ๊ไม่เคยเห็นหน้าเลย” “ไอ้ตี๋มันเพื่อนเค้าตั้งแต่มอปลายแล้ว มาบ้านเราบ่อยด้วยแต่เจ๊แค่ไม่อยู่บ้านเฉย ๆ ต่างหาก” ชื่อตี๋งั้นสินะ... “แล้วทำไมให้เขามารับล่ะ” แสร้งทำเสียงเรียบนิ่งในขณะที่เอ่ยถามเหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แต่เจ้าตัวกลับกำลังเปิดคลังเม็มโมรี่ในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนน้องชายของตัวเองอยู่อย่างเงียบ ๆ “เอาลูกไปหาหมออยู่” มาร์‍ชที่ตอนนี้ยังจ้องหน้าจอโทรศัพท์ไม่วางตาย่นคิ้วนิด ๆ แล้วเหลือบตามองไปทางครัวที่ไม่เห็นตัวพี่สาวได้ยินแต่เสียงที่มีแต่คำถามดังออกมา ก่อนจะพูดติดตลก “ถามมากแปลก ๆ นะเนี่ย ทำไม...ชอบมันไง้” “จะอยากรู้เรื่องเพื่อนแกบ้างมันจะแปลกอะไรนักหนา แค่ถามเฉย ๆ จำเป็นต้องชอบไปหมดเลยหรือยังไง ไอ้นี่” มัดหมี่ชะงัก แล้วตาโตอย่างตกใจ โชคดีที่มีกำแพงกั้นไม่อย่างงั้นคงถูกจับผิดได้ไปแล้ว แต่ถึงไม่เห็นหน้าและท่าทางมีพิรุธมาร์‍ชก็พูดออกมาอย่างกับตาเห็น...รู้มากไม่เข้าเรื่อง “ก็ใช่อะดิ ร้อยวันพันปีเจ๊เคยอยากรู้อยากเห็นเรื่องเพื่อนของเค้าซะที่ไหนล่ะ หรืออยากจะเข้าวงการเมียเกียร์ 74 อีกรอบ” “เพ้อเจ้อ” เดินหน้าบูดออกมาจากครัว มัดหมี่ก็เท้าเอวแล้วชี้ไปที่น้องชาย ไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นซักหน่อย อีกอย่างที่เธอหลอกถามเพราะอยากจะรู้ว่ามาร์‍ชจะหลุดพูดอะไรออกมาหรือเปล่า เธอก็แค่สงสัยในสิ่งที่เพื่อนเคยถามต่างหากว่าครั้งก่อนที่เมาแล้วจำอะไรไม่ได้ เธอเผลอไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่าก็เท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ เพราะกลัวคำตอบอยู่เหมือนกัน “เอ๊า ๆ อย่ามาเหมารวมนะคร้าบบ~ ไอ้กายมันถูกเตะโด่งออกไปแล้ว เจ๊จะมาผูกใจเจ็บไม่ได้ อ้อ! ลืมบอกไอ้ตี๋มันมีความดีความชอบนะ เพราะมันนี่แหละที่ไปกระทืบไอ้เหี้ยกายกับเค้า” สิ่งที่ไม่คาดคิดทำเอามัดหมี่ถึงกับนิ่งไป แต่พักเดียวเท่านั้นเมื่อจู่ ๆ ภาพใบหน้าของเพื่อนน้องชายแวบผ่านไป ก็ไม่ค่อยแปลกใจ ถึงจะให้ลุคที่ดูสุขุมนุ่มลึกกว่า แต่ก็ให้บรรยากาศดิบ ๆ อยู่เหมือนกัน ผู้ชายก็ต้องมีมุมแบบนั้นบ้างถึงจะดูมีเสน่ห์ยังไงล่ะ และเธอก็แน่ใจว่าตัวนำยังไงก็ต้องเป็นน้องชายแสนเกเร ไม่เอาไหน จอมห้าวของตัวเองอยู่แล้ว ตอนที่มีเรื่องสภาพมาร์‍ชไม่สมประกอบอยู่ด้วย จากที่คิดว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะไปกระทืบคนอื่น ต้องเรียกว่ามีน้ำใจไปช่วยเพื่อนที่กำลังบาดเจ็บถึงจะถูกสิ... หน็อย..! พูดให้คนอื่นดูแย่เหมือนตัวเองนี่เก่งนัก นิสัยไม่ดี ไอ้เด็กพี่ไม่อบรมสั่งสอน! “ภูมิใจนักเหรอกับนิสัยอันธพาลของแกน่ะ” “ทีเจ๊ยังพาลคิดลบเหมารวมเด็กทั้งรุ่นเค้าได้เลย...” มาร์‍ชเบ้หน้า เลือดรักสถาบันลุกโชน แบบนี้ยอมกันไม่ได้เด็ดขาด ซักพักก็ทันได้ยินเสียงรถจากทางหน้าบ้านเขาก็หัวเราะเบา ๆ กับคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในครัว แล้วตะโกนถามพี่สาวอีกครั้ง “สรุปยังไง ชอบเปล่าจะได้ติดต่อให้” “ถามมากจริง ๆ ไม่เอาโว้ย ไม่อยากจะยุ่ง...” “เกียร์เจ็ดสี่ชื่อนี้รับประกันความแซ่บ...เนอะไอ้ตี๋!” “หือ? พูดเรื่องอะไรกัน” อาร์เจที่เดินเข้ามาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวในสิ่งที่มาร์‍ชซึ่งนอนเล่นเกมเชิดหน้าถาม เขาก็เอียงคออย่างไม่ค่อยเข้าใจ พักหนึ่งก็พบว่าคนตัวเล็กซึ่งอยู่ในชุดนิสิตวิ่งพรวดพราดออกมาสีหน้าแตกตื่นแทบจะเบรกไม่ทันตอนที่เห็นเขายืนอยู่หน้าประตู “...” เจ้าของดวงตากลมโตกะพริบตาถี่ ๆ มองหน้าเขา จนคนที่โดนจ้องชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะผงกหัวเบา ๆ แล้วเอ่ยทักทายเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าไม่ยอมพูดจาอะไรออกมา “สวัสดีครับพี่หมี่” “…ค่ะ” มัดหมี่เห็นว่าเจ้าของหัวข้อบทสนทนาอยู่ตรงนี้ด้วยก็ทำอะไรไม่ถูก แถมโดนความหล่อกระแทกตา ออร่ากระแทกใจ เธอย่นคิ้วเล็กน้อยอย่างพินิจพิจารณา ทั้งที่ อายุ ส่วนสูง และเรียนคณะเดียวกันแถมยังเป็นเพื่อนกันแต่เด็ก แต่ทำไมอีกคนถึงดูดีมีชาติตระกูล ส่วนน้องชายตัวเองเหมือนกุ๊ยข้างถนนได้ขนาดนี้นะ เฮ้อ… มองร่างสูงที่ยังคงนอนขึ้นอืดของมาร์‍ช มัดหมี่ก็ส่ายหัวเบา ๆ อย่างท้อแท้ใจ ไม่อยากเกิดมาเป็นพี่สาวไอ้นี่เลย…อายคน ทั้งแววตาและสีหน้า มาร์‍ชอ่านมันออกทั้งหมดจนอดหมั่นไส้ที่ถูกมองด้วยความดูแคลนไม่ได้ จึงแก้เผ็ดโดยการ… “เฮ้ยมึง กูมีเรื่องจะฟ้องว่ะ” “หุบปากไอ้มาร์‍ช !” “อะไร ไม่เกี่ยวกับเจ๊ซักหน่อย ร้อนตัวว่ะ” ทำทีหลิ่วตากวนอารมณ์ คนที่ก่อนหน้าบอกว่า ไม่อยากจะยุ่ง เริ่มร้อนใจเพราะไม่รู้ว่าคนปากสว่างจะพ่นอะไรไร้สาระออกมาหรือเปล่า เขาก็แสร้งหันไปพูดกับคนที่ยังยืนอยู่ที่หน้าประตูต่อ “คืองี้...” “มาร์‍ช!!” “...” อาร์เจยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองเบา ๆ ไม่เข้าใจสงครามประสาทของพี่น้องคู่นี้ที่กำลังเกิดขึ้น แต่จิตสังหารของคนตัวเล็กนั้นไม่ธรรมดาเลย ส่วนมาร์‍ชก็ระเบิดหัวเราะชอบใจยามที่มัดหมี่กระโจนเข้าไปปิดปากเพราะกลัวว่าเขาจะหลุดอะไรไม่เข้าท่าออกมา ก่อนจะจิกสายตาคาดโทษแล้วหันไปหัวเราะแห้งให้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูที่กำลังงุนงง “ทานอะไรมาหรือยังคะ?” “ยังครับ วันนี้ผมตื่นสายเลยรีบมา กลัวมารับไอ้มาร์‍ชไม่ทัน” “งั้นเหรอ...พอดีเลยพี่ทำแซนด์วิชไว้ด้วย เดี๋ยวเอาไปด้วยสิ” ว่าแบบนั้นคนตัวเล็กก็หยัดตัวขึ้นแล้วกำลังจะเดินไปที่ครัวแต่ก็ไม่วายยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าคนปากมากให้อยู่เฉย ๆ อย่างไม่ไว้ใจ จัดการห่อกระดาษแล้วหั่นครึ่งเมนูที่ชีวิตนี้ทำเป็นอยู่อย่างเดียวให้ดูน่ากินที่สุดแล้วจัดใส่กล่องทัพเพอร์แวร์ใส่ถุงกระดาษอีกชั้นเดินออกมาวางไว้ที่โต๊ะ “กินได้ใช่ไหมเนี่ย” “จะขัดให้ได้ทุกเรื่องเลยใช่มั้ยไอ้หมา” “ก็ถามเฉย ๆ ไม่ได้ไง้” “ได้ แต่แกตั้งใจกวนประสาท ฉันดูออก !” มัดหมี่แยกเขี้ยวใส่มาร์‍ชที่ทำปากขมุบขมิบล้อเลียน เห็นแบบนี้ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่น้องคู่นี้ถึงได้แยกกันอยู่ เพราะสกิลปากไม่มีใครยอมใคร คนนอกก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วเข้าไปห้ามทัพระหว่างศึกสายเลือดก่อนที่จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ “รีบไปเถอะ มึงหมดโควตาเข้าสายแล้วไม่ใช่เหรอ ?” “เออว่ะ...งั้นเค้าไปแล้วนะเจ๊” “เออ” กระแทกเสียงใส่น้องชาย ก่อนจะหันไปพูดกับร่างสูงแล้วยิ้มอย่างสดใสไปให้ “ขับรถดี ๆ นะตี๋” “…ครับ” “คิก คิก คิก” ตั้งแต่ที่ขึ้นรถมามาร์‍ชซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างคนขับก็ยังขำไม่หยุดจนอาร์เจถึงกับถอนหายใจเพลียกับความกวนส้นตีนของเพื่อนตัวเอง “เล่นเหี้ยอะไรไอ้สัตว์” “กูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” มาร์‍ชทำสายตาล่อกแล่กอย่าไม่ปิดบังราวตั้งใจให้เห็นพิรุธ “ตอแหล กูบอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้ใครมาเรียกกูแบบนี้” ท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ของมาร์‍ช ทำอาร์เจไม่อินอย่างหนัก นิสัยขี้แกล้งและใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือในการปั่นประสาทคนของมันทำเขาชักเริ่มรำคาญ “แล้วมึงจะมาโวยวายกับกูทำไม ไหนบอกว่าไม่สนิทห้ามเรียก จะโดนตบปากแตกไม่ใช่เหรอ ตอนเจ๊พูดมึงก็เดินออกมาเฉย ๆ แล้วเสือกมาโวยวายกับกูเนี่ยนะ สองมาตรฐานว่ะ” “เพราะกูรู้ไงว่ามึงกวนตีนบอกเขาไปแบบนั้น เขาไม่ได้ผิดอะไร” “หราา...ไม่ใช่เพราะเห็นพี่กูสวย ตรงสเปคเข้าหน่อยก็เลยไม่ถือสาหรอกใช่มั้ย ?” “...” “เงียบ ?” “ขับรถอยู่ แหกตาดูหน่อย” “หึ เค ๆ แล้วแซนด์วิชนี่เอาไง กูแดกหมดเลยนะ ยังไงมึงก็ไม่เคยแดกข้าวเช้าอยู่แล้วนี่” “คิดเองเออเอง มึงก็แดกในส่วนของมึงไปดิ กูจะแดกไม่แดกก็เรื่องของกู” “เออ ๆ” มาร์‍ชตอบกลับไปไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้ว เพราะเขาก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแซนด์วิชเบค่อนชีสรูปสามเหลี่ยมที่ถูกตัดเบี้ยว ๆ หน้าตาประหลาดนี้มันกินได้จริง ๆ หรือเปล่า แต่ยังไม่ทันได้เอาเข้าปากเขาก็ได้รับคำถามจากที่กำลังคนขับรถอีกหน “มึงเคยบอกกูว่าพี่หมี่เวลาเมาเขาจะจำอะไรไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ?” อาร์เจสงสัยในสิ่งที่เขาเคยถามมาร์‍ชหลังจากเหตุการณ์คืนนั้นว่าจะเอายังไงเพราะไม่รู้ว่ามัดหมี่จะว่ายังไงหากรับรู้ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้างในตอนที่กำลังเมาและขาดสติ ตัวเขาเองไม่ได้คิดถือสาแค่กลัวแค่ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกไม่โอเคมากกว่า แต่มาร์‍ชก็พูดกับเขาด้วยความมั่นใจว่าสำหรับมัดหมี่เหล้าคือน้ำล้างสมอง ไม่มีทางที่จะจำอะไรได้ และหากว่าอาร์เจไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ก็แค่ปล่อยให้มันเลยตามเลยไป เพราะมาร์‍ชเองก็ไม่ได้คิดที่จะพูดเรื่องคืนนั้นอยู่แล้ว เนื่องจากไม่อยากให้พี่สาวกับเพื่อนสนิทต้องมองหน้ากันไม่ติด “อือ” มาร์‍ชพยักหน้าขณะกัดมุมขนมปังอย่างไม่ค่อยไว้ใจ แต่พอเข้าปากไปก็งับไปอีกคำใหญ่เพราะรสชาติก็ไม่แย่ แล้วเงยหน้าเลิกคิ้วถามเพื่อนว่าแล้วมีปัญหาอะไร “ถ้าเขาจำไม่ได้แล้วทำไมเขามองหน้ากูแปลก ๆ วะ” “ก็คงเหมือนที่มองหน้าพี่กู มึงมองทำไมล่ะ” “...” “เหตุผลของเขาก็อาจจะเหมือนมึงนั่นแหละมั้ง แต่ถ้าอยากรู้ก็ไปถามกันเอาเองสิ ทั้งคู่เลย” มาร์‍ชพึมพำท้ายประโยค เวลาอยู่ต่อหน้าก็ไม่ค่อยจะคุยกันหรอก แต่ชอบมาแอบสงสัย แอบถามเขากันอยู่ได้ หัวจะปวด...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD