คฤหาสน์ตระกูลจ้าว
ฝ้าเพดานสีขาวนวลที่ดูคุ้นตากับโคมไฟแชนเดอเลียร์คริสตัลทำให้คิ้วได้รูปที่พาดเหนือดวงตากลมโตขมวดมุ่น พราวเพตรากระพริบตาถี่ๆ อย่างไม่แน่ใจนัก หญิงสาวคิดว่าคงเป็นอีกครั้งที่ตัวเองฝันไป หากแต่มือบางที่แตะลงบนฟูกนุ่มที่ยวบลงนั่นทำให้ม่านตาของ หญิงสาวขยายอย่างตื่นตระหนก ตอนนั้นเองที่พราวเพตราทราบว่าเธอไม่ได้อยู่ในห้วงแห่งความฝัน ร่างเพรียวค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ในอกเต็มไปด้วยความตื่นกลัว เพราะไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
พราวเพตราค่อนข้างคุ้นเคยกับห้องนี้เป็นอย่างดี นี่คือห้องที่เคยเป็นของเธอก่อนหน้านี้ตอนที่เธอยังเป็นผู้หญิงของจ้าวไป่เฟิง แต่หญิงสาวไม่ทราบว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
หรือว่าจ้าวอี้เฟินจะเป็นคนพาเธอมา
นั่นคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของพราวเพตรา แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรหรือว่าใครก็ตามที่พาเธอมาที่นี่ เธอต้องรีบออกไปก่อนที่จ้าวไป่เฟิงจะมาเจอ เพราะหญิงสาวจำคำพูดสุดท้ายจากริมฝีปากหยักสวยนั้นได้ดี และราวกับว่าเขาเพิ่งจะเอ่ยกับเธอเมื่อวาน
“พรุ่งนี้ก่อนตะวันขึ้นอย่าให้ฉันเห็นหน้าเธออีก ออกไปจากที่นี่ซะ เพราะถ้าเธอยังอยู่ ฉันจะไม่ใจดีกับเธออีก ฉันให้โอกาสเธอได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งเดียวเท่านั้นพราวเพตรา”
พราวเพตราตัดสินใจคิดพาตัวเองออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลจ้าวอย่างไม่ลังเล หญิงสาวรีบขยับลงจากเตียง อยากเร่งรีบให้มากกว่านี้ หากแต่ก็ตระหนักดีว่าเธอไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกแล้ว ทุกย่างก้าวจึงเป็นไปอย่างระมัดระวัง มือเรียวยังไม่ทันแตะลูกบิดประตู บานประตูก็ถูกผลักเข้ามาเสียก่อน เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวรู้สึกหัวใจหล่นวูบไปกองอยู่แทบเท้า เมื่อคนที่เข้ามาคือจ้าวไป่เฟิง
“คุณจ้าว”
พราวเพตราเรียกอีกฝ่ายอย่างตื่นตระหนก ยิ่งได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมกับท่วงท่าที่ขยับเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางคุกคามพราวเพตราก็ยิ่งตื่นกลัว เท้าเล็กถอยร่นขยับถอยหนี ก่อนจะหยุดเมื่อปลีน่องชนเข้ากับขอบเตียง ในขณะที่จ้าวไป่เฟิงเองก็หยุดคุกคามเธอเช่นกัน หากแต่ระยะห่างระหว่างกันมีไม่มากนักก ดวงตาคู่สวยไหวระริกยามที่สบเข้ากับดวงกริบเรียบนิ่งที่จ้องมาเขม็ง
“พราวไม่ทราบจริงๆ ค่ะว่าพราวมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง พราว พราวจะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
พราวเพตราละล่ำละลักบอกด้วยเสียงตะกุกตะกัก หากแต่จ้าวไป่เฟิงไม่ยอมหลบ ดวงตาคมกริบของเขาเอาแต่จับจ้องที่ใบหน้าของหญิงสาว สุดท้ายพราวเพตราก็ตัดสินใจเบี่ยงเท้าไปอีกทาง ทว่าพอขยับเท้าได้เพียงสองก้าว แขนเรียวก็ถูกมือที่ใหญ่กว่ายึดเอาไว้ นั่นทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง รู้สึกหวาดกลัวจนจับขั้วหัวใจ
เพราะเขาเคยประกาศกร้าวเอาไว้แล้วว่าจะไม่ใจดีกับเธออีก
“คุณจ้าวปล่อยพราวไปเถอะนะคะ พราวขอโทษ อย่าทำอะไรพราวเลยนะคะ”
พราวเพตราหวาดกลัวเหลือเกิน หวาดกลัวมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากเธอตัวคนเดียว หญิงสาวคงไม่รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้ แต่เพราะชีวิตน้อยๆ ในครรภ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยนั่นคือสิ่งที่ทำให้พราวเพตราต้องร้องขอความเห็นใจจากคนตรงหน้า น้ำใสเอ่อล้นขังคลอรอบดวงตาคู่สวย ช้อนสายตามองจ้าวไป่เฟิงอย่างเว้าวอนให้เขาเมตตา
“กลับไปนอนบนเตียงซะพราวเพตรา”
“คุณจ้าวปล่อยพราวไปเถอะนะคะ พราวสัญญาว่าจะไม่มาให้คุณจ้าวเห็นหน้าอีกตลอดชีวิตของพราว”
พราวเพตราสะอื้นฮัก มองจ้าวไป่เฟิงผ่านม่านน้ำตาอย่างวิงวอน หากแต่สีหน้าของมาเฟียหนุ่มยังคงเรียบนิ่ง เอ่ยเสียงที่เข้มขึ้นอย่างไร้การผ่อนปรน
“ฉันบอกให้กลับไปนอนที่เตียง เดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงที่ห้วนจัดทำให้พราวเพตราตัวสั่น ไหล่เล็กลู่เข้าหากัน ดวงหน้าเนียนใสที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาสั่นหวือเป็นการปฏิเสธ
“คุณจ้าวอย่าทำอะไรพราวเลยนะคะ ปล่อยพราวไปเถอะนะคะ”
พราวเพตราวิงวอนอีกฝ่ายทั้งน้ำตา ตอนนี้เธอห่วงเหลือเกิน ไม่ใช่ห่วงชีวิตของตัวเอง แต่เธอกำลังห่วงชีวิตน้อยๆ ในครรภ์ เพราะหากเธอเป็นอะไรไปนั่นก็เท่ากับว่าทารกน้อยจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกทั้งที่เขาไม่มีความผิดอะไร
“ดื้อด้าน”
เสียงทุ้มต่ำห้วนจัดอย่างคงเส้นคงวา ก่อนที่ร่างของพราวเพตราจะปลิวหวือขึ้นสู่อ้อมแขนแข็งแกร่ง หญิงสาวตื่นตระหนกระคนตื่นกลัวจนต้องรีบโอบแขนรอบลำคอของจ้าวไป่เฟิงอย่างกลัวตกตอนที่เขาอุ้มเธอไปที่เตียง
“อยู่นิ่งๆ นอนเฉยๆ แล้วอย่าพูดพร่ำให้ฉันรำคาญหูอีก ไม่อย่างนั้นเราได้เห็นดีกันแน่พราวเพตรา”
ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเรียบนิ่งเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างไม่สบอารมณ์นัก นัยน์สีน้ำตาลคมปลาบราวกับมีลูกไฟขนาดย่อมพาดผ่าน และพราวเพตราก็ทราบดีว่าในตอนนี้เธอคงทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการยอมจำนน จำนนทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย
พราวเพตรานอนนิ่งราวกับตัวเองเป็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง มีเพียงการเคลื่อนไหวของทรวงอกและหน้าท้องเท่านั้นที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่ของหญิงสาว จ้าวไป่เฟิงยังยืนจ้องเธออีกพักหนึ่งจนเขาแน่ใจว่าหญิงสาวจะไม่ดื้อดึงลุกขึ้นมาอีก
“ห้ามออกจากห้องจนกว่าฉันจะอนุญาตนะพราวเพตรา แล้วฉันก็จะไม่พูดว่าหากเธอดื้อรั้นจะเป็นยังไง เธอรู้จักนิสัยของฉันดี”
สั่งเสร็จพร้อมกำชับเป็นข่มขู่อยู่กรายๆ ร่างสูงก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากห้อง ดวงตาคู่สวยมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนสุดสายตาก็เห็นว่าที่หน้าห้องของเธอมีบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่ด้วย คิ้วสวยได้แต่ขมวดมุ่นและถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนด้วยไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดวงตาคู่สวยฉายแววอ่อนล้า หากแต่ครู่ต่อมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าฟ่านหรูคงเป็นห่วง หญิงสาวจึงรีบลงจากเตียงแล้วขยับเท้าไปที่ประตู
“ฉันขอใช้โทรศัพท์หน่อยได้ไหมคะ”
พราวเพตราแจ้งกับบอดี้การ์ดหน้าห้อง หญิงสาวเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นกดที่หูฟังบอดี้การ์ด ก่อนจะสนทนากับปลายสาย
“คุณหลวนซานครับ คุณพราวเพตราอยากใช้โทรศัพท์ครับ ครับ ได้ครับ”
พราวเพตราไม่ทราบว่าอีกฝ่ายสนทนากับปลายสายว่าอย่างไร แต่หลังจากที่บทสนทนาจบลง บอดี้การ์ดร่างโตก็หันมาบอกเธอ
“คุณจ้าวให้คุณไปใช้โทรศัพท์ที่ห้องทำงานของคุณจ้าวครับ”
พราวเพตราขมวดคิ้วแน่น ท่าทางคล้ายลังเลใจอยู่หลายส่วน แต่เพราะไร้ทางเลือก สุดท้ายหญิงสาวจึงพยักหน้าเป็นเชิงตกลง
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันรู้ว่าห้องทำงานของคุณจ้าวอยู่ที่ไหน เดี๋ยวฉันไปเองก็ได้ค่ะ”
“ให้ผมพาไปน่าจะดีกว่าครับ”
พราวเพตราเดาเอาว่าบอดี้การ์ดคงได้รับคำสั่งโดยตรงจากจ้าวไป่เฟิงให้คอยดูเธอทุกฝีก้าว หญิงสาวจึงไม่ค้านอะไรตอนที่อีกฝ่ายบอกแบบนั้นและเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่อิดออด
“เข้าไปได้เลยครับ”
บอดี้การ์ดหน้าห้องทำงานบอกกับพราวเพตรา หญิงสาวพยักหน้าแล้วโค้งศีรษะเล็กน้อยตอนที่ก้าวเข้าไปด้านใน ที่โต๊ะทำงานจ้าวไป่เฟิงไม่ได้อยู่เพียงลำพัง หลวนซานก็อยู่ในนั้นด้วย
“หลวนซาน นายออกไปก่อน”
“ครับคุณจ้าว”
หลวนซานโค้งศีรษะให้จ้าวไป่เฟิงก่อนที่เขาจะถอยออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงแค่จ้าวไป่เฟิงกับพราวเพตรา หญิงสาวข่มอาการประหม่าก่อนจะสาวเท้าไปหยุดตรงหน้ามาเฟียหนุ่ม