แบงค์ พี่ชายเพียงคนเดียวของทอส
สิ่งเดียวที่ผมพอจะช่วยหลานชายของผมได้นั่นก็คือการใส่ยานอนหลับในอาหารให้มันกินทุกครั้งหลังจากครั้งแรกที่มันขู่ผมตั้งแต่วันที่น้องทอสและน้องทัชมาหาผมที่บ้าน ผมรู้สึกกลัว กลัวจนทำอะไรไม่ถูก คนในบ้านก็หลายคนแต่ถ้าพวกเขาต้องมาเดือดร้อนเพราะผม ผมก็ทนไม่ได้กับสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คืคำพูดที่ฟังดูแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียนจากปากของมันที่ว่ามันต้องการหลานชายของผมเป็นเมียมันนั้นเอง ตั้งแต่วันนั้นผมยังไม่ได้บอกมันว่าเด็กหนุ่มในรูปบนโต๊ะข้างหัวเตียงคือใครเพราะผมพยายามบ่ายเบี่ยงมันทุกทางแม้แต่การยอมให้มันปูยี้ปูยำเพื่อดึงความสนใจของมันให้มันลงที่ผมเองก็ตามแต่ ผมยอมทุกอย่างเพื่อไม่ให้คนเลวๆ อย่างมันมาทำให้หลานชายเพียงคนเดียวของผมต้องแปดเปื้อน
ชาร์ปเด็กหนุ่มวัย 14 ปีและมีอายุห่างจากผมเกือบ 10 ปี เขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของผมที่พ่อแม่ของเขาฝากฝังผมให้ช่วยดูแลก่อนที่พวกเขาจะลาโลกไปอย่างไม่มีวันกลับ ผมยังจำเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับลูกพี่ลูกน้องของผมได้ดีแต่นับว่าเป็นความโชคดีที่ชาร์ปไม่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทางกลับกันพ่อแม่ของชาร์ปกลับต้องเสียชีวิตในเหตุการณ์ไฟไหม้รถยนต์อย่างไม่มีสาเหตุครั้งนั้นอย่างน่าอนาถในขณะที่ชาร์ปมีอายุเพียง 4 ขวบจึงทำให้ผมและชาร์ปต่างเกิดความผูกพันกันมากมายในฐานะน้าชายและหลานชายคนนี้มาก ผมทั้งรักและเป็นห่วงเขาที่สุดหากจะเรียกได้ว่าเขาคือหัวใจอีกดวงหนึ่งของผมเลยก็ว่าได้ หากคนเลวต้องการหลานชายของผม
แล้วผมยอมสละหัวใจตัวเองเพื่อรักษาชีวิตของคนในบ้านตามความต้องการของมัน ก็เท่ากับผมได้ทำร้ายหัวใจของตัวเองภายในเวลาเดียวกันซึ่งเหตุการณ์นั้นมันจะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาดตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าการบ่ายเบี่ยงของผมอาจใช้ไม่ได้ผลทุกครั้ง อย่างน้อยมันก็ยังช่วยยืดเวลาให้หลานชายเพียงคนเดียวของผมปลอดภัยจากน้ำมือของมัจจุราชตัวร้ายเพราะผมรู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง ผมต้องนอนหลับทั้งน้ำตาแทบทุกคืนเพราะต้องคอยเป็นทาสอารมณ์ของเจ้ามัจจุราชตัวนี้ที่มันแสดงออกถึงความป่าเถื่อน ดุดันและไร้ความปราณีอย่างที่สุด หากหลานชายของผมต้องมาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้เขาจะทนกับความเจ็บปวดเหล่านี้ได้หรือไม่ ผมไม่ขอเสี่ยงที่จะให้หลานชายคนเดียวของผมต้องมาเผชิญกับสิ่งนี้อย่างแน่นอน แม้ว่าผมจะต้องแลกด้วยชีวิตเพื่อช่วยชีวิตของหลานชายไว้ผมก็ยอม
วันนี้ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษจึงได้มีโอกาสนั่งมองคนใจร้ายที่ยังคงนอนหลับอยู่บริเวณปลายเตียง ใบหน้าของมันตอนที่นอนหลับมันช่างดูไร้เดียงสาไม่มีพิษสงอะไรเลยแม้แต่น้อยแต่หากมันได้ลืมตาขึ้น ทุกอย่างกลับตรงกันข้ามจนผมแทบอยากจะฆ่ามันให้ตายวันละหลายๆ รอบแล้วผมจะทำยังไงต่อไป ถ้ามันเกิดคิดอยากได้หลานชายของผมอีก มันจะมีวิธีหรือทางออกอะไรอีกไหมที่จะช่วยหลานผมได้ ปัญหานี้ทำให้ผมนอนหลับไม่สนิทเลยสักคืนเพราะผมพยายามใช้สมองอันน้อยนิดของตัวเองหาทางช่วยหลานชายให้ปลอดภัยจากน้ำมือของคนใจร้ายให้ได้ดีที่สุดแต่หากมันต้องเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริงๆ ผมจะทำยังไง ผมจะทำยังไงเพื่อจะช่วยหลานของตัวเองได้ ผมนั่งมองใบหน้าของมันอยู่นาน นานจนต้องรู้สึกตกใจเองเพราะเปลือกตาของมันลืมขึ้นพร้อมทั้งส่งรังสีอํามหิตมาทางผมอย่างไร้ความเมตตาหรือว่าสิ่งที่ผมกำลังกลัวมันจะเกิดขึ้น ผมจะทำยังไงถ้าคราวนี้มันไม่ยอม ผมจะทำยังไงหากมันขู่จะทำร้ายคนในบ้านอีกแต่ จู่ๆ แววตาที่ดุดันก็กลับกลายเป็นแววตาที่แสดงออกถึงความอ่อนโยนและอบอุ่นขึ้นมาอย่างฉับพลันจนผมปรับความรู้สึกไม่ถูกว่าจะกลัวหรือจะแสดงอารมณ์ยังไงดี
"แบงค์ครับ วันนี้นะขอได้ไหมอย่าใส่ยานอนหลับให้นะกินอีกเลยนะ ไม่ใช่ว่านะไม่รู้ว่าแบงค์ต้องการจะช่วยเด็กคนนั้นแต่บอกตรงๆ แบงค์ทำแบบนี้มันยิ่งทำให้นะอยากจะครอบครองเด็กคนนี้ให้เร็วที่สุด นะเองพยายามควบคุมอารมณ์เก็บความรู้สึกโกรธโมโหไว้ลึกสุดใจแล้วนะ อย่าให้นะต้องแสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมาเลยเพราะชีวิตคนในบ้านของแบงค์จะไม่ปลอดภัย วันนี้.. นะให้โอกาสแบงค์วันนี้เท่านั้นต้องพาเด็กหนุ่มคนนี้มาหานะให้ได้ ให้เวลาก่อนเที่ยงถ้าไม่พามาคนแรกที่ต้องจบชีวิตลงก็คือคนที่อายุมากที่สุดในบ้าน แบงค์เองก็น่าจะรู้นะว่าถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา ครอบครัวของแบงค์จะเป็นยังไง นะจะไม่พูดอีกขอให้แบงค์เข้าใจด้วยนะ.." ผมรู้สึกเหมือนมีใครเอาของแข็งมาตีที่ท้ายทอยผมอย่างจัง ผมหน้าชาทำอะไรไม่ถูก ต้องถึงขั้นเอาชีวิตกันเชียวหรือเพียงแค่ต้องการระบายความอยากของตัวเอง ผมมองมันดึงผ้าห่มออกจากตัวก่อนจะก้าวขาลงจากเตียงและเตรียมจะเดินเข้าห้องน้ำ ผมรีบวิ่งไปคว้าตัวมันเข้ามากอดและพรั่งพรูคำอ้อนวอนเพื่อหวังไม่ให้มันทำร้ายหลานคนที่ผมรัก
"นะอย่าทำแบบนี้เลยนะ ฉันขอร้อง หากนายต้องการเพียงแค่อยากระบายความอยากของนายก็ลงที่ฉันคนเดียวเถอะ อีกอย่างความต้องการของนายมันสามารถทำให้นายฆ่าคนได้เลยเหรอ!" และสิ่งที่ผมไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมันกล้าแกะมือผมออกจากตัวของมันก่อนที่มันจะหันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"หยุดพูดได้แล้ว ฟังนะดีๆ นะ ตัวแบงค์น่ะนะก็ได้แล้ว ตอนนี้นะก็เบื่อแล้วด้วย นะไม่ชอบใช้อะไรซ้ำซากจำเจ นะชอบความตื่นเต้น ชอบอะไรที่แปลกใหม่ท้าทายอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่ของเก่าๆ เหมือนแบงค์ ก่อนเที่ยงเท่านั้นนะต้องเห็นเด็กคนนี้ในห้อง ไม่อย่างนั้นอะไรจะเกิดขึ้นแบงค์ก็น่าจะรู้นะครับ..." ผมทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง น้ำใสๆ ไหลออกจากตามากมายขณะที่สายตาผมก็มองคนร่างใหญ่เดินเข้าห้องน้ำอย่างสบายอารมณ์ น้ำตาของผมมันก็ยิ่งไหลจนแทบจะเป็นสายเลือด คำพูดอ้อนวอนจากปากของผมมันไม่มีอิทธิพลกับคนอย่างมันเลยหรือยังไง เมือมาถึงจุดนี้ผมคงไม่มีทางเลือกแต่ผมก็พอเชื่อมั่นในตัวเองอย่างหนึ่งว่าถ้าผมพาชาร์ปมาหามันและมีผมอยู่ในห้องด้วย มันคงไม่กล้าล่วงเกินอะไรหลานของผมหรอกมั้ง ด้วยความปลอดภัยของทุกชีวิตในบ้านซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในกำมือของผมแล้ว ผมคิดจนหัวแทบระเบิดกับการหาทางออกที่จะไม่ทำให้ใครต้องเป็นอะไรแต่หากเกิดเรื่องร้ายกับคนในบ้าน ผมคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ๆ ไหนๆ มันก็ไม่มีทางเลือกไหนที่ดีกว่านี้แล้วผมคงต้องตัดสินใจไปรับหลานชายที่ผมรักดั่งดวงใจที่ผมเพิ่งไปที่โรงเรียนกวดวิชาแถวสยามเมื่อเช้ามาหามันจริงๆ แล้วใช่ไหม อีกอย่างมันคงไม่รู้เหรอกว่าชาร์ปหลานชายผมก็นอนอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยแต่เป็นเพียงที่เราสองคนนอนกันคนละห้อง ตั้งแต่ที่มันเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ผมก็พยายามกีดกันทุกคนเพื่อไม่ให้เข้ามาในห้องของผมทุกวิธีเพราะผมไม่อยากให้ทุกคนต้องมาเผชิญกับความโชคร้ายเหมือนกับตัวผมในเวลานี้ หลังจากที่ผมแต่งตัวเสร็จผมก็รีบออกจากห้องแล้วล็อคประตูห้องจากด้านนอกอย่างแน่นหนาแล้วเดินลงไปยังรถยนต์ประจำตัวเพื่อขับออกไปยังสยามทันที
เมื่อผมเดินทางมาถึงโรงเรียนกวดวิชา ผมก็ขออนุญาตเพื่อจะขอพบเจ้าชาร์ปด้วยอาการที่แสดงออกถึงอาการร้อนรนอย่างมาก ไม่นานชาร์ปหลานชายของผมก็เดินออกมาจากห้องเรียนตรงมาหาผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ
"น้าแบงค์มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมกำลังเรียนอยู่ยังไม่เลิกเลยครับน้า"
"กลับบ้านกับน้าก่อนนะ น้ามีอะไรให้ชาร์ปช่วย น้าคุยกับอาจารย์กวดวิชาแล้วนะขอรับเรากลับบ้านเร็วกว่าเวลา 1 ชั่วโมง"
"ได้ครับน้าเดี๋ยวผมขอเข้าไปเก็บของในห้องเรียนก่อนนะครับ น้ารอตรงนี้แป๊บหนึ่งนะครับ" ชาร์ปไม่ปฏิเสธอะไรผมก่อนจะตอบรับผมเพื่อขอเข้าไปเก็บของในห้องเรียนและนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหนึ่งเพราะเขาคงเห็นถึงความร้อนใจจากแววตาของผม ผมขับรถพาหลานชายกลับบ้านพร้อมทั้งชวนเขาคุยเพื่อให้เขาสบายใจและรับรู้ว่าผมไม่ได้เป็นกังวลใจอะไร ผมไม่กล้าเล่าความจริงให้เขาฟังเหรอกว่าตลอดเวลากว่า 1 อาทิตย์ผมต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนใจร้ายและที่ผมมารับเขากลับบ้านในเวลานี้ก็เป็นคำสั่งของมันที่จะให้ผมมารับหลานของตัวเองไปปรนเปรอมันถึงในห้องนอนแต่ผมก็คิดว่าผมพอจะมีทางออกเพื่อช่วยเขาหลบหลีกไม่ให้มันทำร้ายเขาได้ ผมจึงเล่าให้เขาฟังว่าที่ผมมารับเขาก็เพื่อจะพาเขาไปพบเพื่อนคนนึงที่เดินทางมาจากต่างประเทศและอยากทำความรู้จักกับเขาโดยระหว่างทางที่ผมขับรถมารับเขาที่สยาม ผมก็โทรคุยกับคนใจร้ายถึงข้อตกลงว่ามันจะไม่จู่โจมและทำร้ายหลานชายผมเด็ดขาด มันเองก็รับปากกับผมแต่ผมก็ไม่ไว้ใจมันเหรอก
ผมใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีรถยนต์ก็มาจอดอยู่ที่ลานจอดรถภายในบ้านผมอย่างปลอดภัย สีหน้าของชาร์ปดูตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อผมบอกว่าจะพามาพบกับเพื่อนที่รออยู่ในห้องนอนของผม ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดเข้าไปก็ปรากฏถึงคนร่างใหญ่ที่กำลังยืนอยู่บริเวณนอกระเบียงห้องด้วยท่าทางสง่างามราวกับเจ้าชายก็ไม่ปาน เมื่อมันหันมาเห็นว่าผมพาใครคนหนึ่งที่มันต้องการมาพบ สีหน้าที่ดูเคร่งขรึมก็กลับมีความอ่อนโยนและแสดงถึงความอบอุ่นออกมาทันทีก่อนที่คนทั้งสองจะพูดคุยทักทายกันตามมารยาท เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วหลานชายของผมและคุณใจร้ายกลับดูสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ คนทั้งสองต่างเล่าความชื่นชอบของกันและกันฟังแต่ผมสังเกตเห็นแววตาของคนใจร้ายที่เพ่งมองตัวหลานชายของผม มันแสดงออกถึงรังสีอำมหิตดั่งพญาราชสีห์ที่พบกับเหยื่อตัวน้อยและพร้อมจะขย้ำกินได้ทุกเมื่อ คนทั้งสองหยอกล้อกันไปมาอย่างสนิทสนม ผมจะทำยังไงได้เมื่อทุกอย่างเป็นไปแบบนี้หรือผมจะปล่อยให้สถานการณ์เลยตามเลยโดยที่ผมต้องคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ แบบนี้