11. เจอกันอีกครั้ง

2220 Words
ดึกดื่นค่อนคืนบนหลังคายามนี้ยังมีร่างสูงของใครบางคนนอนมองดูท้องนภา ราวกับว่ามันเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม เขาทำเช่นนี้มาสองคืนแล้วตั้งแต่เจ้าของห้องด้านล่างล้มป่วยเมื่อสองวันก่อน “หลับสบายเชียวนะเด็กน้อย รู้หรือไม่ว่าข้าต้องลำบากมาเฝ้าเจ้าอยู่เช่นนี้” เสียงทุ้มดังขึ้นบนหลังคา ยามนี้เขากำลังจ้องมองร่างเล็กที่หลับสนิทโดยมิรู้เลยว่ามีคนอยู่ด้านบน ซึ่งเวรยามก็ตรวจตราอยู่ตลอด แต่ก็นั่นแหละใครมันจะคิดว่าจะมีคนกล้าลอบเข้ามาในจวนอ๋อง สายของอีกวันซูเยว่ออกมานั่งที่สวนพร้อมกับคนของตน ซึ่งความสงสัยก็เกิดขึ้นจนต้องเอ่ยถึง “แปลกนะเพคะ คุณหนูจางมิมาที่นี่เลยตั้งแต่ครานั้น” “ไม่มาที่นี่ก็ใช่ว่าทั้งคู่จะพบกันมิได้นะหลินหยา” เสี่ยวชิงเอ่ยขึ้น เพราะแต่ก่อนอ๋องหรานจวิ้นและสตรีผู้นี้ก็นัดเจอกันข้างนอกอยู่เสมอ จึงมิแปลกที่จะไม่มาที่นี่ จินหยางเดินเข้ามาหาผู้เป็นนายซึ่งนั่งอยู่ในสวน พร้อมกับรายงานเรื่องที่ได้สืบมา ทำเอาซูเยว่นิ่งไปเพราะมิคิดว่ามินจูจะลงมือหลายคราเพียงนี้เพียงเพื่อตำแหน่งของตน “ทำไมนิยายมันถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้นะ จะว่าเป็นเพราะเราก็ไม่น่าใช่ ปกติซูเยว่ก็ไม่มีตัวตนอยู่แล้วทำไมมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ” สตรีจากต่างยุคนิ่งคิดถึงเหตุผลของเรื่องราวซึ่งมันต่างออกไปทุกทีจากที่เธอเคยได้อ่าน ซึ่งมันไม่ควรเป็นแบบนี้ “นางเอกก็ต้องอยู่กับพระเอกสิ ทำไมถึงมาผูกพันธ์กับตัวร้ายแบบนี้ แล้วถ้าเราไม่เข้ามาอยู่ในร่างนี้จะเป็นยังไง ทุกอย่างมันจะยังคงเดิมหรือเปล่านะ” นางยังคงสงสัยและไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่ทุกวันนี้ก็พยายามมิข้องเกี่ยวกับตัวละครแล้ว แต่ทั้งหมดต่างหากที่วนเวียนเข้ามาหาอยู่เรื่อย “กระหม่อมคิดว่าคงมีเบื้องหลังอย่างอื่นรวมอยู่ด้วยพะย่ะค่ะ ราชวงศ์นี้มิได้รักใคร่กันแม้แต่น้อย ที่นี่ปกครองภายใต้คำสั่งของฮ่องเต้ก็จริง แต่อ๋องทั้งสองก็มักจะแย่งชิงอำนาจกันอยู่เนืองๆ ขุนนางก็เข้าร่วมเป็นสองฝ่าย คงหวังให้ใครคนหนึ่งเป็นใหญ่เพียงผู้เดียวพะย่ะค่ะ” “แล้วมันเกี่ยวกับข้าอย่างไรหรือจินหยาง ไยต้องมารุมสังหารสตรีเช่นข้าด้วย” ซูเยว่เอ่ยตัดพ้ออย่างเหนื่อยใจ “เสนาขวาคงอยากได้อำนาจเพคะ จึงได้ช่วยบุตรสาวให้ได้เป็นพระชายา วันข้างหน้าก็จะมีอำนาจมากขึ้น” เสี่ยวชิงผู้ที่มักจะสืบเรื่องราวของเหล่าขุนนางเงียบๆ เอ่ย “เพียงเพราะอำนาจถึงกับสั่งฆ่าคนเชียวหรือเสี่ยวชิง” หลินหยาเอ่ยถามเพื่อให้แน่ใจ เพราะดูท่าแคว้นนี้จะมีแต่เรื่องแก่งแย่งชิงดีกันเสียมากกว่าจะนำพาแคว้นให้เจริญ “นั่นสิ แม้แต่ข้าเองที่เป็นถึงองค์หญิงจากต่างแคว้นก็มิละเว้น” ซูเยว่เอ่ยก่อนจะถอนใจแรงๆ “เป็นเช่นนั้น ที่นี่ต่างไปจากแคว้นของเรามาก ฮ่องเต้องค์ก่อนมีแต่พระโอรส จึงเกิดการแย่งชิงอำนาจกันมาตลอด หากฮ่องเต้ปัจจุบันมิมีองครักษ์ที่เก่งกล้า มิแน่ว่าพระองค์อาจจะสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว เพราะท่านอ๋องทั้งสองต่างก็อยากขึ้นครองบัลลังก์กันทั้งนั้น” จินหยางเอ่ยบอกเพื่อคลายความสงสัย ทำเอาสตรีทั้งสามถึงกับนิ่งไป เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็มิเคยออกไปไหน จึงมิค่อยรู้เรื่องราวความเป็นมาเท่าใดนัก ยิ่งซูเยว่ด้วยแล้วมีสตรีจากต่างยุคเข้ามาครองร่างและอาศัยอยู่เพียงแค่เดือนเดียว ซ้ำยังต้องพยายามกันตนเองออกให้ห่างจากตัวละครทั้งสี่ที่เธออ่านเจออีก ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกของเรื่องอย่าง แม่ทัพฟานจงซี นางเอกอย่าง คุณหนูจางมินจู และอ๋องตัวร้ายทั้งสอง แต่คนพี่เธอยังไม่เคยเจอนี่สิ “ท่านอ๋องเสด็จมาเพคะ” หลินหยารีบรายงานเมื่อเห็นเจ้าของจวนตรงมา นัยน์ตาสวยเหลือบมองคนตัวโตที่เดินดุ่มราวกับตั้งใจมาหานางเสียอย่างนั้น “เจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ มีรับสั่งจากฮ่องเต้ให้ข้าเดินทางเข้าเฝ้าที่ต่างเมือง และอาจจะต้องพำนับหลายคืน แต่ข้าจะเพิ่มเวรยามที่นี่ อย่าออกไปที่ใดจนกว่าข้าจะกลับ” คิ้วสวยขมวดทันที เพราะมิเข้าใจว่าเขาจะมาบอกนางทำไม ในเมื่อปกติจะไปไหนมาไหนก็มิเคยเอ่ยอยู่แล้ว แต่ช่วงหลังมานี่แม้แต่ทานข้าวเขาก็รอ จนนางต้องออกมานั่งทานด้วยทุกครั้งจนเริ่มชินตาคนในจวน “ไยท่านต้องมาบอกข้าด้วยล่ะ” ซูเยว่เอ่ยถามเมื่อทนความสงสัยของตนเองมิได้ ซึ่งคนสนิทก็คงคิดเช่นกัน “ข้าแค่มิอยากให้เจ้าเข้าใจว่าข้าไปอยู่ที่อื่นกับผู้ใด” “หึ! เรื่องนั้นพระองค์มิต้องห่วงเพคะ หม่อมฉันคิดอยู่แล้ว เพราะก่อนนี้มันเป็นเช่นนั้น มีเรื่องแค่นี้ใช่หรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะออกไปเดินตลาดเสียหน่อย” เสียงหวานเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกยืน นางยิ้มส่งให้สามีเช่นทุกครั้ง แต่มันมิได้มีความหมายใดเลย เพราะแค่ทำตามมารยาทที่พึ่งมีเท่านั้น และดูเหมือนหรานจวิ้นจะเข้าใจดี จนถึงกับนิ่งไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายมิใส่ใจตนเลย “เช่นนั้นข้าจะให้องครักษ์ตามไปอีก” เขาเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมันมิได้ทำให้ซูเยว่ซึ้งใจเลย “คนเหล่านี้เป็นองครักษ์หรือเพคะ มิใช่มือสังหารที่พระองค์ส่งติดตามเพื่อรอเวลากำจัดหม่อมฉันหรือ” เสียงหวานเอ่ยหยันอีกฝ่ายทันที เพราะซูเยว่เชื่อว่าการลอบสังหารทุกครั้ง คนตรงหน้าต้องรู้เรื่องด้วยเป็นแน่ ทำเอาอ๋องหนุ่มถึงกับเงียบไป ทั้งที่เขาควรจะปฎิเสธมันแท้ๆ แต่อย่างไรล่ะในเมื่อนางเชื่ออย่างนั้น ต่อให้เอ่ยเช่นไรก็คงมิมีทางเชื่อ มีแต่ทำให้เห็นเองเท่านั้น ว่าเขามิเคยคิดจะลงมือกับนางเลยสักคราไม่ว่าแต่ก่อนหรือยามนี้ แม้ก่อนนั้นจะอยากให้นางสิ้นใจก็เถอะ ร่างเล็กของชายาเดินจากไปแล้ว แต่หรานจวิ้นยังคงยืนนิ่งราวกับรูปปั้น เพราะยามนี้จิตใจเขาว้าวุ่นเป็นอย่างมาก “ยังจะให้ส่งคนติดตามหรือไม่พะย่ะค่ะ” ไห่เฉิงเอ่ยถาม “สั่งคนของเราตามนางห่างๆ อยู่ในเมืองเช่นนี้ฝ่ายนั้นคงมิกล้าลงมือเป็นแน่ แต่อย่างไรก็อย่าประมาท” หรานจวิ้นเอ่ยขึ้น เพราะซูเยว่มิได้ถูกแค่มินจูหมายจะเอาชีวิตเท่านั้น แต่มีพระเชษฐาอย่างอ๋องไป่จวินด้วยที่ต้องการจะสังหารนางเพื่อแก้แค้นให้สนมที่จากไป แม้ผู้พี่จะไม่ใส่ใจว่าเขาจะมีใจต่อชายาหรือไม่ เพียงแค่ได้ปลิดชีพคนของตนเพียงเท่านั้นเองที่ไป่จวินต้องการ ณ จวนอ๋องไป่จวิน ยามนี้เขาพึ่งจะตื่นขึ้นมาหลังจากที่หารือกับแม่ทัพฟานจนดึกดื่น เขาจึงได้รู้ว่าหรานจวิ้นมิได้ใส่ใจพระชายาของตนเองแม้แต่น้อย จากที่คอยสังเกตการณ์ด้วยตนเอง และถ้อยคำบอกเล่าของฟานจงซี และดูเหมือนแม่ทัพหนุ่มจะพอใจนางเป็นอย่างมากเช่นกัน “น้ำแกงแก้เมาพะย่ะค่ะ” เผิงหยวนส่งถ้วยให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะถอยออกมายืนมิไกลนักแล้วรายงานบางเรื่อง “วันนี้พระชายาซูเยว่ออกมาเดินตลาดพะย่ะค่ะ” คิ้วหนายกขึ้นก่อนที่ริมฝีปากจะยิ้มออกมา นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยราวกับคนมีแผนร้าย ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปชำระเนื้อตัวแล้วกลับออกมาพร้อมด้วยอาภรณ์ที่ต่างออกไปจากปกติเช่นทุกวัน “จะเสด็จออกไปหรือพะย่ะค่ะ” เผิงหยวนถามขึ้นทันที “ข้าคงต้องไปทำความรู้จักกับน้องสะใภ้เสียหน่อย” ไป่จวินเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มร้าย ตั้งแต่วันนั้นที่ลอบเข้าไปดูอาการของซูเยว่ซึ่งจับไข้เพราะช่วยตน ไป่จวินก็แอบเข้าไปบ่อยขึ้น แต่ก็เพียงแค่ครั้งเดียวที่เขาเข้าห้องนาง เพราะต่อมาก็อยู่แค่บนหลังคาหรือไม่ก็ริมหน้าต่าง เพื่อมิให้ซูเยว่ตื่นตระหนกจนต้องมีคนเฝ้าด้านนอก หากเป็นเช่นนั้นเขาคงมิอาจมาซุ่มดูอยู่เช่นนี้ได้เป็นแน่ ณ ตลาดของเมืองหลวงแห่งนี้แม้สายแล้วก็ยังมีผู้คนคร่าคล่ำมากมายเดินเพื่อจับจ่ายซื้อข้าวปลาอาหาร หนึ่งในนั้นก็คือซูเยว่ที่ยังคงสนุกสนานกับการเดินเที่ยว “พระชายาได้ยินว่าอีกสองวันจะมีงานโคมไฟนะเพคะ” หลินหยาเอ่ยบอกเมื่อนึกขึ้นได้ว่านางกำนัลในจวนเอ่ยถึงเรื่องนี้ พอได้ยินแบบนั้นคนที่มิเคยเห็นก็ถึงกับตื่นเต้นดีใจ “จริงหรือเช่นนั้นเราออกมาเที่ยวกันเถอะ” “ยามค่ำคืนท่านอ๋องจะอนุญาตหรือเพคะ” หลินหยาเอ่ยด้วยความวิตกกังวล “ชีวิตข้ามิได้ขึ้นอยู่กับคนผู้นั้น” ซูเยว่เอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะมองเห็นบางสิ่งที่ถูกใจ นางเดินตรงเข้าไปหาทันทีเพื่อจะหยิบมันขึ้นมา ก่อนจะมีใครบางคนคว้าไปเสียก่อน โคมไฟสีชมพูอ่อนลายดอกท้อ ยามนี้มันอยู่ในมือบุรุษหนุ่มที่นางคุ้นตา เพราะเขาคือคนที่อยู่ในถ้ำกับนางในวันนั้น ไป่จวินส่งยิ้มให้คนตัวเล็กที่ยืนเผชิญหน้ากันอีกครั้งนับจากคืนนั้นที่อีกฝ่ายมิรู้ตัวว่าเป็นเขาที่เข้าไปให้ความอบอุ่น “เจ้าชอบหรือเช่นนั้นข้าซื้อให้นะ” เขาเอ่ยก่อนจะหยิบเงินออกมาจ่าย แล้วส่งโคมไฟนี้ให้แก่ซูเยว่ “ข้าซื้อเองได้ ท่านจ่ายแล้วมันก็ควรเป็นของท่าน” มือเล็กดันของตรงหน้าคืนอีกฝ่ายทันที เพราะมิรู้ว่าคนตัวโตนี้เป็นใครกันแน่ การแต่งกายก็น่าจะเป็นขุนนางในราชสำนัก เพราะอาภรณ์ที่เขาสวมใส่แม้จะไม่โดดเด่นแต่ก็ถูกตัดเย็บอย่างดี “ข้าแค่อยากขอบใจเจ้าที่ช่วยชีวิต ของเล็กน้อยแค่นี้รับไว้เถอะ หากมิมีเจ้าข้าคงมิได้มายืนตรงนี้เป็นแน่” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ไป่จวินเอ่ยทำเอาคนสนิทถึงกับคิ้วขมวด มิคิดว่าผู้เป็นนายจะทำเช่นนี้กับคนของศัตร ซูเยว่ลังเลที่จะรับ แต่อีกฝ่ายก็ถือวิสาสะจับมือนุ่มขึ้นมาแล้ววางมันลง ก่อนจะยิ้มส่งให้จนคนตัวเล็กถึงกับนิ่งไป “โอ๊ย! จะยิ้มทำไมเนี่ยะ หล่อเท่ห์เหมือนพี่เฟยหาญเลย แล้วเขาเป็นใครในเรื่องกันล่ะ ทำไมต้องหน้าตาเหมือนคนที่เราชอบในยุคปัจจุบันด้วย มีตัวละครโผล่มาเรื่อยๆ เลย แค่นี้ก็อีรุงตุงนังจะแย่ ยังจะมีมาเพิ่มอีก” นางคิดในใจพร้อมกับดวงตาสวยที่ยังจับจ้องอีกฝ่ายอยู่ ซึ่งไป่จวินเองก็ทำมิต่างกัน ยามนี้เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งราวกับมิมีผู้ใดเดินไปมา จนกระทั่งเสี่ยวชิงรั้งแขนซูเยว่ให้ถอยห่าง เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะก้าวเข้ามาหาอีก “กลับกันเถอะพะย่ะค่ะ” จินหยางเอ่ยบอกเพราะมองเห็นคนของอ๋องหรานจวิ้นยืนอยูที่ตรอก ซูเยว่จึงพยักหน้ากับคนของตน ก่อนจะหันกลับมาหาคนตัวโต “ข้าต้องไปแล้ว เช่นนั้นข้าจะรับน้ำใจจากท่านไว้” เสียงหวานดังขึ้นก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าที่รออยู่ตรงมุมตลาด “ท่านอ๋องคิดจะทำอันใดหรือพะย่ะค่ะ” เผิงหยวนเอ่ยถามทันที เมื่อกลุ่มของพระชายาเดินไปหมดแล้ว “ข้าจะทำสิ่งใดกันล่ะ ก็แค่ทักทายเท่านั้น” ไป่จวินตอบเสียงเรียบ ก่อนจะมองไปยังกลุ่มคนของหรานจวิ้นที่ยังคงซุ่มมองดูตนอยู่ ยิ้มร้ายผุดขึ้นก่อนจะเดินไปยังหอน้ำชาที่มักจะออกมาดื่มอยู่เป็นประจำ และมิลืมจะให้คนไปตามแม่ทัพฟานออกมาเช่นทุกครั้ง ความสำราญที่เขามักจะหาใส่ตัวอยู่เสมอ พร้อมกับวางแผนกำจัดอนุชาที่เป็นปรปักษ์ขวางทางแย่งชิงบัลลังก์ ยิ่งช่วงหลังมานี้ฮ่องเต้ทรงพระประชวรบ่อยขึ้น สองพี่น้องก็เริ่มระดมพลเพื่อหาพรรคพวกหนุนหลัง “มาแล้วหรือแม่ทัพฟาน” เขาเอ่ยทักอีกฝ่ายก่อนจะเชิญให้นั่ง ซึ่งเป็นที่สำหรับทั้งคู่และมิมีผู้ใดขึ้นมาได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD