ทันทีที่แยกกับญาตาวี ดมิทรีก็หันมาสนใจโทรศัพท์ของตนเองอีกครั้ง
“ว่าไงเบรฟ”
และปลายสายที่ยังคงถือสายรออยู่ก็รายงานเรื่องด่วนที่โทรเข้ามาอย่างรวดเร็วทันที “ผู้หญิงคนนั้นมีกำหนดจะเดินทางมาเวกัสนะครับ”
เป็นอันรู้กันว่า ‘ผู้หญิงคนนั้น’ คือใคร
และ…ดมิทรีจับตามองเจ้าหล่อนมานานเท่าไหร่แล้ว! นับตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนเสียด้วยซ้ำ...ทว่าเขาและคนสนิทก็ยังคงเก็บเงียบเพราะต้องการหาตัวการเจ้าของร่องรอยบาดแผลถูกยิงของแอนนาเบลล์ ทว่าตอนนี้กลับไม่ได้ผล
“งั้นเหรอ?”
ดมิทรีถามกลับคล้ายกับไม่สนใจ ทว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเขา ‘สนใจ’ ความเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนั้นมากเพียงใด
ผู้หญิง...ที่ทำให้น้องสาวของเขาเกือบตาย และเป็นผู้หญิงที่ไร้ความรับผิดชอบมากเสียจนเขาอยากจะฆ่าเธอให้ตายคามือ! แต่…การฆ่าเธอมันสบายเกินไป
เขาอยากให้เธอได้สัมผัสความรู้สึกที่ต้องเจ็บปวดราวกับตกอยู่ในนรกอย่างที่เขาและแอนนาได้รู้สึกมากกว่าจะให้เธอไปสบายด้วยความตาย...
“คุณดีนจะให้ทำยังไงกับเธอต่อไปดีครับ ผมว่าคุณปล่อยเวลาไว้นานเกินไปแล้ว” เบรฟเร่งเร้า เพราะเขาก็เป็นคนหนึ่งที่เฝ้ารอคอยให้จัดการตัวต้นเหตุที่มันใจดำขับรถชนคุณหนูแล้วทิ้งให้นอนอยู่ข้างถนนเกือบตายอย่างใจจดใจจ่อ
“ฉันจัดการเอง” เขาสั่งเสียงเข้ม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดไปว่า “ว่าแต่แอนนาเป็นยังไงบ้าง”
“ก็…วันนี้หมอบอกว่าร่างกายคุณหนูแอนนาเป็นปกติดีแล้วครับ กายภาพบำบัดก็สมบูรณ์ดี เธอสามารถเดินเหินได้ตามปกติ แต่เรื่องความทรงจำที่หายไปคงต้องรอดูว่าก้อนเลือดจะสลายตัวหมดเมื่อไหร่ เธอน่าจะได้ความทรงจำกลับคืนมา”
บาราฟอธิบายอาการของหญิงสาวออกมาอย่างยืดยาว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอาการความจำเสื่อมชั่วคราวของแอนนาเบลล์ก็น่ากังวลอยู่ดี
“อืม…” ดมิทรีตอบรับโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดไปอีกครั้งหนึ่งว่า “ฝากดูแลแอนนาด้วยแล้วกันนะเบรฟ”
“ครับเจ้านาย”
เมื่อปลายสายตอบรับ ดมิทรีที่มีท่าทีดีขึ้นก็กดตัดสายทิ้งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกจากงานเลี้ยงหรูหราแต่น่าเบื่อเป็นบ้าเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เขาจะต้องไปแล้ว
ลาสเวกัสขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการพนัน หรืออีกชื่อก็คือเมืองคนบาปเพราะที่นี่ต่างเต็มไปด้วยกาสิโนน้อยใหญ่มากมาย แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ดึงดูดใจชลธิณาได้มากกว่ากลับเป็นสถานที่จำพวกสวนสนุกและโชว์ของโรงแรมพาราไดซ์ซึ่งขึ้นชื่อว่าดังไปทั่วโลกซึ่งเธอกับเพื่อนๆ เพิ่งจะชมมันเสร็จเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
“มันสนุกมากเลยเนอะลีน! ไม่คิดว่าจะสนุกขนาดนี้” หญิงสาวหันไปพูดกับเพื่อนสนิทของตนเอง โดยที่ด้านหลังมีฝาแฝดและอีเลียน เพื่อนสนิทของชลนรรจ์เดินตามมาข้างหลัง
ทริปนี้มีผู้ร่วมทริปอยู่สี่คน ทว่าทุกคนก็สนิทกันดี เพราะอย่างเธอกับอีเลียนนี่ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนปรับภาษาแล้วจึงไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แถมเขายังกลายเป็นเพื่อนสนิทชลนรรจ์เพราะสองหนุ่มนี่ไปเรียนต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่บอสตันด้วยกันน่ะสิ
“จ้าๆ แล้วนัทล่ะ สนุกไหม” เอวิลีนหันไปทางชลนรรจ์แล้วถามเขาด้วยสีหน้ายิ้มๆ ด้วยเอ็นดูท่าทีเหมือนเด็กของชลธิณา แม้ว่าเธอจะอายุมากกว่าสองแฝดสองปี แต่ก็ไม่ยอมให้ทั้งคู่เรียกพี่เพราะถือว่ารุ่นเดียวกันอยู่!
ก็ใครจะไปอยากแก่เร็วล่ะ...จริงไหม?!
“ลีนบอกว่าสนุก” ชลนรรจ์ตอบยิ้มๆ ดวงตาของเขาวาววับ “นัทก็ว่าสนุก”
เอวิลีนส่ายหน้ากับคำตอบเล่นลิ้นของอีกฝ่าย เธอรู้ว่าชลนรรจ์ชอบเธอ แต่เอวิลีนคิดกับฝาแฝดของเพื่อนสนิทแค่เพื่อนเท่านั้น แม้ไม่มีท่าทีจะปฏิเสธแต่ก็รู้ดีแก่ใจกันว่าเธอไม่ตอบรับแน่ๆ ชลนรรจ์ก็คงพอรู้แต่ก็ยังแอบหยอดบ้างตามประสาหนุ่มอารมณ์ดีที่มั่นใจในตัวเอง
และเอวิลีนก็รู้ดีว่าเขาคงจะแค่ ‘ชอบหน้าตา’ เธอเท่านั้น ชลนรรจ์ไม่ได้ชอบเธอจริงๆ หรอก
ไม่มีผู้ชายชอบผู้หญิง ‘ฉลาด’ หรอก โดยเฉพาะพวกที่ ‘รู้ทันจนน่ากลัว’ อย่างเธอ
ใครบางคนเคยบอกเธออย่างนี้ และเอวิลีนก็ไม่แคร์ เพราะเธอมั่นใจว่าเธออยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพวกผู้ชาย!
โดยเฉพาะ...ไอ้คนพูดที่เคยพูดมันตอกใส่หน้าเธอเมื่อหลายปีก่อนนี้!
“แหม…นัท ออกนอกหน้ามากเลยนะ” ชลธิณาหันไปแซวฝาแฝดของตนเอง แถมยังหันไปพยักพเยิดกับเพื่อนสนิทชลนรรจ์ที่เดินตามมาเงียบๆ “ว่าไหมอีเลียน”
“จริง” หนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียนที่หล่อเหลาราวกับนายแบบตอบรับด้วยประกายตาวิบวับและรอยยิ้มกว้างบนเรียวปาก “เห็นแล้วหมั่นไส้ชะมัด”
แล้วทั้งสองคนก็ต้องหัวเราะออกมาเมื่อชลนรรจ์ที่หมั่นไส้ฝาแฝดตัวเองก็ใช้มือใหญ่ๆ ของเขาดันศีรษะชลธิณาด้วยท่าทีที่ดูก็รู้ว่าหมั่นไส้ ส่งผลให้ชลธิณาโวยวายอยู่พักใหญ่ที่โดนแกล้งก่อนจะเงียบเสียงลงและถามทุกคนว่า
“แล้วคนอื่นๆ ไปไหนต่อไหมล่ะ”
“กล้าถามจริง” ชลนรรจ์แขวะฝาแฝดตัวเองอย่างไม่หายหมั่นไส้ “เขาก็อยู่ในกาสิโนหมดนั่นแหละ นี่นัทจะขอแยกตัวกับอีเลียนแล้วนะ นานาก็ไปกับลีนแล้วกัน” ชลนรรจ์ตอบ เพราะรู้ว่าสองสาวไม่อยากเข้าไปเท่าไหร่ เขาเองยังไงก็ได้แต่คนที่อยากเข้าก็คืออีเลียน ชายหนุ่มจึงยอมตามใจเพื่อนของตนเอง
“ได้ ไม่มีปัญหา” เอวิลีนตอบรับ ขณะที่สองหนุ่มก็โบกมือล่ำลาสองสาวเมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วแล้ว
“โอเค เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“เจอกันพรุ่งนี้...”