ดมิทรีที่กำลังเดินตรวจกาสิโนของตนเองตามปกตินั้นก็
ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นร่างของหนึ่งในคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ภายในกาสิโนของเขา ชายหนุ่มหยุดเดิน หันไปทางผู้จัดการที่เดินตามมาต้อยๆ ว่าพอจะจำคนที่เขาสะดุดตาได้ไหม ซึ่งผู้จัดการก็พยักหน้าทันควันว่าจำได้ เนื่องจากอีกฝ่ายมักจะมากับเพื่อนที่น่าจะเป็นพวกมาจากยุโรปเป็นประจำพลางตอบว่า
“ผู้ชายคนนั้นเข้ามาที่กาสิโนของเราวันนี้วันที่สองแล้วครับท่าน”
“งั้นเหรอ?” ดมิทรีครางรับในลำคอ ดวงตายังไม่ละจากภาพตรง
หน้าแม้แต่น้อย และนั่นทำให้ผู้จัดการรายงานในสิ่งที่ตนเองรู้ต่อไป
“ส่วนใหญ่เขาจะเล่นแค่เครื่องเล่นนิดๆ หน่อยๆ ครับ คนที่เล่นหนักคือเพื่อนของเขาที่มาด้วยกันมากกว่า แต่ก็ได้บ้างเสียบ้างตามปกติครับท่าน”
ดมิทรีเม้มริมฝีปากแน่น ขณะแววตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด หลังจากที่เขาเงียบไปนานเพราะผู้จัดการหมดเรื่องที่จะรายงานแล้ว ดมิทรี
ก็เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว
“คุณคาร์เตอร์...”
“ครับ? ท่านมาโควิซ...”
“ฉันอยากให้คุณทำยังไงก็ได้...” เขานิ่งไปไม่กี่วินาที ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ให้เหมือนกับว่าสองคนนั้นโกงเรา เข้าใจไหม”
คำสั่งนั้นทำให้คนเป็นผู้จัดการถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ “ทำไมครับท่าน?”
คนถูกถามปรายตามองคาร์เตอร์เขม็ง สีหน้าของเขาเย็นชาหน้ากลัวในทันที “ไม่ใช่หน้าที่ที่คุณจะต้องถาม ทำตามที่ผมสั่งก็พอ”
มาเฟียหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น และนั่นทำให้คาร์เตอร์ขจัดความสงสัยที่จะทำให้ตัวเองซวยออกไปทันที และก้มหน้ายอมรับคำสั่งนั้นโดยไม่โต้แย้งแม้แต่น้อย!
“ได้ครับท่าน”
คฤหาสน์มาโควิซ
เพิ่งจะเป็นเวลาสองทุ่มในตอนที่ดมิทรีก้าวเท้าเข้าไปในบ้านของตนเอง และเพียงไม่นานร่างเล็กๆ ของน้องสาวที่ดูภายนอกคล้ายกับจะหายดีแล้วก็หยุดเดินกึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา ท่าทีราวกับเด็กๆ และประกายตาวิบวับด้วยความดีใจที่เจ้าหล่อนเห็นเขาก็ทำให้ดมิทรีอดเอ็นดูไม่ได้
“เป็นยังไงบ้างแอนนา”
เขาถามผู้เป็นน้องสาว พลางโอบกึ่งประคองเจ้าหล่อนให้เดินตรงไปยังโซฟารับแขกตัวหรูภายในคฤหาสน์มาโควิซ ชายหนุ่มดันร่างเล็กให้ลงนั่งโดยมีเขาทรุดตามลงไป ซึ่งแอนนาเบลล์ก็ไม่ขัดขืน และเจ้าหล่อนก็ตอบคำถามของพี่ชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสว่า
“ดีน วันนี้หมอบอกว่าน้องใกล้หายเป็นปกติแล้วนะคะ”
“ดีจ้ะ”
ดมิทรีตอบรับเสียงอ่อนหวาน เพราะไม่ว่าอย่างไรสำหรับเขา น้องสาวที่อายุห่างกันถึงสิบสองปีและเขาก็ช่วยดูแลเจ้าหล่อนมาตั้งแต่ยังเล็กก็ยังดูเหมือนเด็กๆ ในสายตาของเขาอยู่ดี
“แต่…น้องก็ยังจำอะไรหลายๆ อย่างไม่ได้อยู่ดี เกลียดตัวเองตอนนี้ชะมัดเลย” หญิงสาวบ่นพลางตีหน้ามุ่ย คนป็นพี่เห็นอย่างนั้นแล้วจึงอดที่จะลูบศีรษะเล็กๆ นั้นไม่ได้ พร้อมกับเอ่ยปลอบใจเจ้าหล่อนว่า
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่นานน้องก็จะจำทุกอย่างได้”
“น้องก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ”
“แล้วนี่น้องจะกลับไปเรียนต่อไหม?” ดมิทรีถามเปลี่ยนเรื่องเนื่องจากไม่อยากให้แอนนาเบลล์กังวลกับอาการป่วยของตัวเองมากนัก
เมื่อหกเดือนก่อนเกิดอุบัติเหตุ แอนนาเบลล์มีโครงการว่าจะเรียนต่อ
ด้านศิลปะตามที่เจ้าหล่อนจบมา แต่เพราะเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน แผนการนั้นจึงเป็นอันยกเลิก ตอนนี้เจ้าหล่อนเกือบกึ่งจะหายดีแล้วชายหนุ่มจึงอดถามหญิงสาวไม่ได้ เพราะถ้าเธอตกลง แอนนาเบลล์จะได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเรียนในภาคการศึกษาหน้านี้
“น้องเบื่อจัง” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่บ่งบอกว่าเธอเบื่อการเรียนจริงๆ “ขอเป็นปีหน้าได้ไหมคะดีน” เธอต่อรอง เพราะรู้ดีว่ายังไงตนเองก็ต้องไปเรียนต่อตามที่พี่ชายสั่ง
อันที่จริงการไปเรียนก็ถือว่าเป็นการฆ่าเวลาที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะถ้าจะให้เธอไปช่วยงานเขาแน่นอนว่าดมิทรีย่อมไม่มีทางตกลง เขาถึงขั้นเคยประกาศด้วยซ้ำว่าเขา ‘หวงและห่วง’ เธอมากเกินกว่าจะให้เธอทำงาน แอนนาเบลล์เป็นน้องสาวคนเดียวของเขา เขามีปัญญาเลี้ยงเจ้าหล่อนให้สุขสบายเสียยิ่งกว่าเจ้าหญิงได้อยู่แล้ว!
หากแต่…ถึงคนอื่นจะคิดว่าดีมากขนาดไหน ทว่านั่นไม่ใช่เธอ แอนนาเบลล์ยังอยากมีงานอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่าจะทำตัวลอยชายเป็นคุณหนูไร้สมองไปวันๆ
“งั้นช่วงนี้น้องจะทำอะไร?” ดมิทรีถามด้วยความอยากรู้
แอนนาเบลล์หัวเราะ ก่อนจะหยั่งเชิงคนเป็นพี่ชายทันที “ช่วยงานดีนดีไหมคะ?”
“ไม่”
คำตอบรวดเร็วดังมากจากปากชายหนุ่ม หญิงสาวหัวเราะก่อนจะซบหน้าลงกับบ่าแข็งแรงของคนเป็นพี่แล้วออดอ้อน
“งั้น…ขอไปอยู่เกาะแล้วกัน”
“หืม…” ชายหนุ่มครางในลำคออย่างสงสัย แอนนาเบลล์จึงยอมเฉลยว่า
“เกาะดีนกินสักพักไง”
“ยายตัวแสบ ได้จ้ะ เกาะตลอดชีวิตเลยก็ยังได้ถ้าเรามีแรงเกาะพี่
น่ะนะ”
“พูดงี้รู้สึกกลัวเลยแฮะ” หญิงสาวทำท่าขนลุกขนพองกับความใจดีผิดปกติของพี่ชาย ก่อนตีหน้ามุ่ยอีกครั้งแล้วบอกกับดมิทรีด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ดีน…ถ้าแต่งงานเมื่อไหร่อย่ารักเมียจนลืมน้องนะ”
ดมิทรีหัวเราะ เขาเขกศีรษะเล็กๆ ของน้องสาวอย่างหมั่นไส้และหมั่นเขี้ยว
“ไม่มีทางหรอกน่า” มาเฟียหนุ่มตอบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ยังไงเราก็ครอบครัวเดียวกันนะ พี่รักเราที่สุดอยู่แล้วล่ะแอนนา”
สำหรับเขา บนโลกนี้คนที่จริงใจด้วยที่สุดก็มีไม่กี่คนบนโลกใบนี้เท่านั้นและหนึ่งในนั้นก็คือคนในครอบครัวของเขาอย่างลุงวลาดิเมียร์และแอนนาเบลล์ ฉะนั้นแน่นอนว่าเขาไม่มีทางรักใครมากไปกว่าคนในครอบครัวแน่ๆ
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวกอดคนเป็นพี่ด้วยท่าทีออดอ้อนอย่าง
พึงพอใจ “งั้นน้องไปพักผ่อนก่อนนะคะ ช่วงนี้ร่างกายไม่แข็งแรงเลย บ้าจริง เมื่อไหร่จะเป็นปกติเสียทีก็ไม่รู้” ตอนท้ายเจ้าหล่อนบ่นหงุงหงิง แม้ว่านี่จะดีกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนที่เธอแทบจะเดินไม่ได้ ตอนนี้หลังจากตัดเฝือกแล้วเธอทำกายภาพบำบัดจนเกือบจะดีดังเดิมแล้ว แต่ก็ยังถือว่าร่างกายอ่อนแอกว่าแต่ก่อนมากจริงๆ
“เดี๋ยวพี่ให้พิต้าขึ้นไปดูแลนะ”
คนเป็นพี่ประคองน้องสาวให้ลุกขึ้นยืน แล้วพาเธอไปส่งที่ห้องนอนด้วยท่าทีอ่อนโยน
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับเมื่อพี่ชายส่งเธอถึงหน้าห้องแล้ว และเขาก็มีท่าทีว่าจะหายไปในห้องทำงานของเขาเพื่อทำงานต่ออีกแน่นอน และแอนนาเบลล์ก็ไม่คิดจะขัดขวางการทำงานของคนเป็นพี่ชาย ทว่าก็อดที่จะเตือนอีกฝ่ายไม่ได้ว่า “ดีนอย่าทำงานหนักนะ รู้ไหมช่วงนี้ดีนหน้าโทรมมากเลย เนี่ย” ไม่พูดเปล่า ปลายนิ้วเล็กจิ้มลงบนหางตาของชายหนุ่มแล้วตีหน้าไม่พอใจกับรอยคล้ำจางๆ บนดวงหน้าสีน้ำผึ้งจางเพราะโดนแดดบ่มมานานของมาเฟียหนุ่มผู้เป็นพี่ชาย “ถึงจะหล่อแค่ไหนแต่ใต้ตาดำเหมือนหมีแพนด้าก็หมดหล่อได้นะพี่ชาย อย่าหาว่าน้องสาวคนสวยไม่เตือน”